ดาวพลูโต

ดาวพลูโต

 ดาวพลูโต (พ) ถือเป็น ดาวเคราะห์นอกระบบเดิม ที่มีอิทธิพลเชิง พลังลึก, การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่, และ การทำลายเพื่อสร้างใหม่ แม้ไม่ได้ใช้ในโหราศาสตร์ไทยโบราณ แต่ปัจจุบันหลายสำนักนำมาใช้ร่วมกับดาวมฤตยู (๐) และเนปจูน (น) เพื่ออธิบายมิติของจิตใต้สำนึกและการเปลี่ยนผ่านชีวิตระยะยาว

จากหนังสือ Pluto by Fritz Brunhubner ซึ่งจัดพิมพ์โดย National Astrological Library,USA,in 1934  ฟริตท์ บรุนฮุบเนอร์ เป็นนักโหราศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้เขียนบทความนี้ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1934  ท่านอาจารย์ซิเซโร ได้นำบทความของท่านมาถ่ายทอดในหนังสือ มฤตยู เนพจูน พลูโต

ความหมายของดาวมฤตยู(๐) ดาวเนพจูน(น) และดาวพลูโต(พ)

๑. ความหมายของดาวยูเรนัส หรือดาวมฤตยู(๐)  หมายถึง ความเป็นอิสระ การปลดปล่อยจากพันธนาการ สิ่งที่ไม่อยู่ในกฎระเบียบ ไม่เป็นแบบแผน ความไม่แน่นอน เกี่ยวกับกิจกรรมสันทนาการต่างๆ การท่องเที่ยวหรือการเรียนรู้ในเรื่องราวใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ความปัจจุบันทันด่วน การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน แม้แต่เรื่องราวของวิทยาศาสตร์ หรือโหราศาสตร์ก็เป็นความหมายของดาวยูเรนัส เพราะมันหมายถึงศาสตร์ที่ไม่ยอมรับอยู่กับความคิดแบบเดิมๆ เป็นศาสตร์ที่พัฒนาและปรับปรุงสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น

๒. ดาวเนปจูน (Neptune) ดาวเนปจูน(น)  มีความหมายในเชิงของจินตนาการ สิ่งที่เพ้อฝัน สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับด้านลึกของจิตใจและความคิดเป็นหลัก เป็นการที่ไม่สามารถแยกได้ระหว่างสิ่งเป็นเรื่องจริง กับสิ่งที่เป็นจินตนาการ เป็นความอ่อนแอในการเผชิญหน้ากับความรุนแรงและปัญหาต่างๆ บางครั้งหมายถึงสิ่งที่เป็นเท็จ การโกหกหลอกลวง แม้แต่การสูญเสีย เพราะสิ่งที่ตามมาจากการสูญเสีย คือการที่เราไม่ยอมรับในความเป็นจริงของสิ่งที่เกิด และพยายามที่จะหวนกลับไปอยู่กับมันก่อนที่เราจะสูญเสียมันไป

๓. ดาวพลูโต(พ)  ทำให้เกิดการเปลี่ยแปลงพลังงานทุกชนิด  ธรรมชาติของดาวพลูโต จะมี ๔ ประการ คือ

๑.การทำลายล้าง

๒.การแปรสภาพจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสี่งหนึ่ง

๓.การผลิตนวัตกรรมใหม่จากสิ่งที่มีอยู่เดิม

๔. การกระทำที่เป็นโครงการระยะยาว

สรุป

ดาวมฤตยู(๐) เป็นดาวที่ปลุกให้โลกตื่นขึ้น ดาวเนพจูน(น) เป็นผู้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ส่งต่อให้ดาวพลูโต(พ)  ดาวพลูโต(พ)จะรับภาระในการเป็นทูตและผู้ถือสารแห่งโลกยุคใหม่ ทำหน้าที่ในการสร้างสรรค์โลกยุคใหม่ให้ประสบความสำเร็จ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอนรากถอนโคน เช่น การนำความร้อนจากพลังแสงอาทิตย์(๑)มาใช้ประโยชน์ เช่น ระบบโซลาเซลล์  นำความร้อนจากภายใต้พื้นโลกมาใช้ นำการเคลื่อนไหวของน้ำในมหาสมุทรมาใช้  (ดีถีขึ้นแรม)  นำพลังงานจากภูเขาไฟมาใช้ประโยชน์ การเพาะปลูกพืชโดยวิธีการใหม่ ๆ และทฤษฎีใหม่ ๆ

 กล่าวโดยสรุป ดาวมฤตยู(๐) มีอำนาจในการบงการ ก่อให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้น เครื่องยนต์กลไก นวัตกรรมใหม่ ๆ ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) ดาวเนพจูน(น) มีอำนาจบงการก่อให้เกิดของเหลว เช่นน้ำมัน และมายาการทุกชนิดที่ไม่มีรูปร่างแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก (Sixsense) ดาวพลูโต(พ) มีอำนาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง  และพลังงานอะตอมมิคในทางวิชาเคมี พลูโต หมายถึุง เคมีนิวเคลียร์ (Nucleur Chemistry)

ศตวรรษที่ผ่านมาเป็นศตวรรษของดาวมฤตยู(๐)และดาวเนพจูน(น) เป็นศตวรรษแห่งภูมิปัญญาและการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงด้านภูมิปัญญาที่หลากหลายโดยอิทธิพลธิพลของดาวมฤตยู(๐)

แต่จากนี้ต่อไปจะเป็นศตวรรษแห่งดาวพลูโต(พ) จะเป็นโลกยุคเทคโนโลยี  เป็นโลคยุคใหม่ที่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป  ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พฤติกรรมทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ในสังคมมนุษย์ยุคนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าออกไปย่างเหลือคณานับ โฉมหน้าของมนุษยชาติจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงทั้งด้านวัตถุและจิตใจ  ภายใต้อิทธพลของดาวพลูโต(พ) โลกจะวิปริตแปรผันไป โรคภัยไข้เจ็บจะแปลกประหลาดพิสดารกว่าเดิม  ความลึกลับมหัศจรรย์ทางจิตวิญญาณ ปัญหาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองจะเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม 

จากหนังสือมฤตยู(๐)เนปจูน พลูโต เทพเจ้าแห่งความวิบัติและการทำลายล้าง ในวิชาโหราศาสตรไทย ปัจจุบัน โดย: ยอดธง ทับทิวไม้ สรุปความหมยว่า  “อาจจะแยกออกไปได้ว่า เนปจูนกับมฤตยู คือดาวผู้บุกเบิกการมาของพลูโตในฐานะที่เป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่อยู่ในกลุ่มของดาวเคราะห์ในกล่มดาวเสาร์ (trans-saturnian) มฤตยูได้ทำหน้าที่ในฐานะตัวพลังแห่งการปฏิวัติ (revolutizing force) ก็นำมาซึ่งการประดิษฐ์คิดสรรค์อันมีลักษณะการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็ดำรงตำแหน่งแห่งความเป็นเจ้าแห่งเทคนิคและวิชาการของตนไว้ ยิ่งกว่านั้นมฤตยูยังได้เป็นผู้นำเสนอความรู้ความเข้าใจเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับสสารวัตถุอันอยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ เช่น การนำไฟฟ้า วิทยุ เครื่องยนต์กลไก เข้ามาใช้เป็นสะพานที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อวัตถุและวิญญาณ (Matter and Spiritual) อิทธิพลของพลูโตไม่เพียงแต่จะมีอิทธิพลต่อวิญญาณอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นก็หาไม่ แต่มีอิทธิพลมากมายเหนือวัตถุและวิญญาณรวมกันด้วย 

ในขณะที่อิทธิพลของมฤตยูได้สำแดงออกมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่ก็ทำหน้าที่ปลุกให้ยุคสมัยให้ตื่นขึ้นมาตามกำหนดเวลา เนปจูนก็เป็นตัวการที่ได้นำความระส่ำระสายของมนุษย์ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งแรก เนื่องจากอิทธิพลของเนปจูน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจ แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้พยายามมากยิ่งขึ้นเพื่อจะซึมซับรับรู้อิทธิพลแห่งความสั่นสะเทือนอันงดงาม และลึกลับประหลาดล้ำของเนปจูนให้รู้กันให้ได้ ก็เป็นที่ทราบกันว่าเนปจูนป็นตัวนำมาซึ่งเรื่องของความลี้ลับอันนอนก้น และฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจและของวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง

และบัดนี้ ภายใต้แรงสั่นสะเทือนเข้มข้น และหนักหน่วงอันเพิ่มพูนขึ้นมาของพลูโต ซึ่งติดตามกันมา อิทธิพลของพลูโตมิใช่จะมีผลกระทบแต่เพียงตัวคนหนึ่งคนใดก็หาไม่ แต่จะมีผลกระทบต่อเชื้อชาติมนุษย์ทั้งหมดทั้งปวง จะก่อให้เกิดความรู้สึกถึงความแตกต่างบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะมาถึง บางสิ่งบางอย่างที่ว่านี้เป็นความใหม่ที่ทำให้ไม่รู้ได้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร หรือบางสิ่งบางอย่างไม่เคยมีใครเขียนเล่าบอกไว้ในหนังสือ บางสิ่งบางอย่างซึ่งส่วนหนึ่งมนุษย์ยังหวาดกลัว ในขณะเดียวกัน มนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งกำลังรอด้วยความคลั่งไคล้ต่อยุคใหม่ที่จะมาถึง  มนุษย์ทุกรูปทุกนามที่มีชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้ จะเกิดความรู้สึกกันขึ้นมาว่าในตัวของเขาบรรจุอยู่ด้วยนั้น มิได้เพียงแต่ถูกยัดเยียดสิ่งอันเป็นโลกียะก็หาไม่ แต่มันมีพรสวรรค์อันสูงส่งบรรจุอยู่ด้วย พลูโตเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นตัวแตกทลายของจิตใจอันผูกมัดอยู่กับความหลงใหลในวัตถุ และความโลภโกรธหลงอันเป็นโลกียะของยุคสมัยแล้ว

พลูโตเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเหตุการณ์สองเหตุการณ์คือ (1) การล่มสลายของยุคเก่า (2) การเกิดขึ้นของยุคใหม่ เป็นตัวสร้างความปั่นป่วนที่ทำให้เกิดสถานการณ์แบบหน้ามือเป็นหลังมือในเหตุการณ์ของโลก  แต่เนื่องจากว่า พลูโตเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่รู้จักคำว่า อภัย ไม่มีการบอกเตือนล่วงหน้า ไม่มีการรั้งรอให้เสียเวลาอันจะทำให้เกิดวิธีการที่สงบ อิทธิพลของพลูโตจึงสำแดงออกมาในลักษณะที่ไม่มีความอ่อนโยนนิ่มนวลนัก ตรงข้ามการแสดงของพลูโตจะเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรงสถานเดียว ความมุ่งหมายของพลูโตก็คือ จะชำระล้างยุคเก่า เพื่อที่จะนำหน้าไปยืนในยุคใหม่ด้วยใบหน้าอันเปล่งปลั่ง ด้านที่สองของพระเจ้าเจนุสเพื่อทำหน้าที่ประกาศ และนำความสุขมาให้แก่มวลมนุษย์

ข้อความตอนนี้เป็นข้อความตอนหนึ่งในตำราโหราศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของดาวดวงหนึ่งที่เรียกกันว่า พลูโต ที่เขียนขึ้นโดยนักโหราศาสตร์อินเดีย และนักโหราศาสตร์เยอรมันท่านหนึ่งชื่อนาย Fritz Brunhubner พิมพ์ใน National Astrological Library USA.หนังสือเล่มนี้ได้ถูกนำไปพิมพ์ในประเทศตะวันตกทั้งหมดทุกประเทศ มีสมาคมและวิทยาลัยโหราศาสตร์ตะวันตกทุกประเทศ จะมีตำราโหราศาสตร์เล่มนี้พิมพ์เผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และอื่นๆ ซึ่งก็เป็นโหราศาสตร์ระบบเดียวกับโหราศาสตร์ไทย 

ยอดธง ทับทิวไม้  ได้เอาตำราเล่มนี้มาแปลเป็นภาษาไทยขึ้นมาบ้างเพื่อช่วยเหลือผู้สนใจการศึกษาโหราศาสตร์สมัยใหม่  เกี่ยวกับเรื่องดาวที่สำคัญในวิชาโหราศาสตร์นี้ก็มีส่วนอยู่มาก เฉพาะอย่างยิ่ง รายละเอียดของวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของชีวิตความเป็นอยู่ อีกทั้งสังคมของทุกคนที่รายละเอียดในวิชาโหราศาสตร์จะบอกไม่ได้เสมอไป  เนื่องจากระบบโหราศาสตร์ของเรานั้น ยังล้าหลังนักโหราศาสตร์ประเทศอื่นๆ มากมายนัก และยิ่งเมื่อหนังสือตำราโหราศาสตร์ของเรายังมีน้อย และอยู่ในวงจำกัดมาก ทำให้การศึกษาค้นคว้าของเราแทนที่จะก้าวไปข้างหน้าได้มากกว่าประเทศอื่นๆ กลับย้ำอยู่กับที่  เฉพาะอย่างยิ่งดวงดาว 3 ดวง ที่นักโหราศาสตร์ประเทศอื่นๆ นำมาใช้ร่วมกัน คือมฤตยู เนปจูน พลูโต ของไทยมีใช้เพียงดวงเดียวเท่านั้นคือ มฤตยู เพราะฉะนั้น ท่านได้ตัดสินใจแปลหนังสือเกี่ยวกับดาว 3 ดวงขึ้นเมื่อปี 2521 เป็นการพิมพ์ครั้งแรก และครั้งที่สองพิมพ์ขึ้นอีกในปี 2545 ในชื่อ “มฤตยู เนปจูน พลูโต เทพเจ้าแห่งความวิบัติ และการทำลายล้างในวิชาโหราศาสตร์ไทย”  ปรากฏว่ามีผู้สนใจไม่น้อย และในเวลาเดียวกัน ก็มีนักโหราศาสตร์ไทยบางท่านได้ทักทวงมาว่ามันไม่มีใครใช้กัน อาจจะมีประโยชน์สำหรับวิชาโหราศาสตร์ไทย เพราะดูเหมือนว่าไม่มีโหรไทยคนใดเคยนำมาพูดถึงเลย น่าจะเป็นเรื่องของฝรั่งมากกว่า  นั่นเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งในวิชาโหราศาสตร์ไทยของเราที่เอามาจากอินเดีย ซึ่งอาจจะเป็นเวลานานมาแล้วไม่น้อยกว่า 5,000 ถึง 6,000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ท่านมหาฤาษีวราหมิหิรา เจ้าของตำราโหราศาสตร์อินเดียที่มีชื่อว่า “พฤหัสบดีสังหิตา” ท่านว่าดาวเหล่านี้ดือดาวมฤตยู พลูโต เนปจูนที่ว่านี้น่าจะได้นำมาใช้ในวิชาโหราศาสตร์ไทย แต่ความจริงนักโหราศาสตร์ไทยสมัยนั้นได้ใช้ดาวเหล่านี้กันมาแล้ว หรือรู้จักกันมานานแล้ว และได้ใช้กันมาตลอดเวลา เพียงแต่ขาดดาวเนปจูน และพลูโตสองดวงเท่านั้น และในอินเดียได้ใช้กันมานานอาจจะไม่น้อยกว่า 5,000 หรือ 6,000 ปีที่ว่านั้น  

พลูโต สมัยนั้นท่านเรียกว่า “อินทร” เนปจูนท่านเรียกว่า “วรุณ” มฤตยูท่านเรียกว่า “พระยม”  

มีเหตุผลและความเป็นมาของดาวเหล่านี้หลายประการที่คนจะรู้กัน เฉพาะในตอนหนึ่งมีคำอธิบายคร่าวๆไว้ว่า “พลูโตกำลังจะเป็นผู้วางรูปโฉมหน้าใหม่ให้แก้พิภพ จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรม (Culture) พลูโตจะเป็นผู้ลงมือช่วยมวลมนุษย์ในการต่อสู้รณรงค์กับอำนาจของธรรมชาติ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น มนุษย์ไม่เคยรู้เคยเห็น เพราะพลังงานอันถูกปิดงำ ด้วยการเปิดโปงถึงสิ่งใหม่ที่ถูกปิดงำนั้นเปิดเผยออกมา

คำอธิบายความสัมพันธ์เชิงลึกของดาวมฤตยู (๐) – ดาวเนพจูน (น) – ดาวพลูโต (พ)

ด้านล่างนี้คือ คำอธิบายความสัมพันธ์เชิงลึกของดาวมฤตยู (๐) – ดาวเนพจูน (น) – ดาวพลูโต (พ) ประกอบกับหลักโหราศาสตร์สากล–ไทยร่วมสมัย และตีความเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายแต่คงไว้ซึ่งความลึกเชิงวิชาการ

 “สามมหาดาวแห่งยุคสมัย”

มฤตยู (๐) — เนพจูน (น) — พลูโต (พ)  ในโหราศาสตร์สากลเรียกดาวสามดวงนี้ว่า Transpersonal planets หรือ “ดาวเหนือบุคคล” เพราะอิทธิพลของพวกเขาไม่ใช่มีผลต่อคนอย่างเดียว แต่จะมีผลต่อ สังคม มนุษยชาติ ประวัติศาสตร์ และยุคสมัย ทั้งหมด   สามดาวนี้ทำงานเป็น “ชุดพลัง” (Triad) แบบที่แต่ละดวงส่งไม้ต่อกัน  เหมือนระบบกลไกวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

1) ดาวมฤตยู (๐) — ผู้ปลุกให้โลกตื่นจากยุคเก่า

หน้าที่: ปฏิวัติ – แหกกรอบ – สร้างสิ่งใหม่ – นวัตกรรม – ไฟฟ้า – AI มฤตยูเป็น “ผู้บุกเบิก” (Pioneer)  ดวงนี้จะ ปลุก และ ทำให้มนุษย์ตาสว่าง เหมือนฟ้าแลบ ทำให้เห็นความจริงชั่ววูบ จากนั้นจึงเกิดเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือการคิดใหม่ที่ฉีกขาดจากยุคเดิม

พลังของมฤตยู:  เป็นพลังที่เฉียบพลัน ว่องไว ฉับพลัน  มีการเปลี่ยนแบบ “ตัดแล้วตัดเลย” เป็นดาวแห่งไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อากาศ อวกาศ เกี่ยวข้องกับ AI, IoT(IoT ย่อมาจาก Internet of Things หรือ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง  คือ เทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสารกันเองได้โดยอัตโนมัติ , Quantum computing ในยุคปัจจุบันสรุป  มฤตยูคือ “ประกายไฟ” ของความเปลี่ยนแปลง

 2) ดาวเนพจูน (น)   เป็นสี่งที่ผู้รับรู้สิ่งที่ลึกกว่าตาเห็น

หน้าที่: มายา – สัญชาตญาณ – ความรู้สึก – การรับรู้แบบไร้รูป – ความฝัน – ของเหลว  เนพจูนทำหน้าที่ รับคลื่น ที่มฤตยูปล่อยออกมา แล้วแปลงเป็นแรงสั่นสะเทือนในจิตมนุษย์  ทำให้เกิดความสับสน อ่อนไหว หมอกควัน   เพื่อให้มนุษย์ “ละลายรูปแบบเดิม” และยอมเข้าสู่สิ่งใหม่

พลังของเนพจูน: เป็นสิ่งสิ่งที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ เช่น น้ำมัน ของเหลว คลื่นวิทยุ อินเทอร์เน็ต ความฝัน ความลึกลับ จิตวิญญาณ  เมฆหมอก การหลอกลวง ข้อมูลเกินจริง กล่าวคือเนพจูนคือ “น้ำและหมอก” ที่เก็บข้อมูลทั้งหมด และชะล้างยุคเก่าอย่างเงียบ ๆ

 3) ดาวพลูโต (พ) — ผู้ทำลายและผู้สร้างยุคใหม่

หน้าที่: ทำลาย – แปลงสภาพ – ฟื้นตัว – พลังงานนิวเคลียร์ – เคมีลึก – อำนาจ  พลูโตเป็น “ผู้เก็บผล” จากการที่ มฤตยู → ปลุกเนพจูน → กระตุ้น/ละลาย แล้วพลูโตจะลงมือ “รื้อระบบ” ให้พังทั้งราก   จากนั้น “สร้างโครงสร้างใหม่” ขึ้นมาแทน

พลังของพลูโต: เป็นการทำลายของเดิมเพื่อสร้างสิ่งใหม่ แปรสภาพพลังงานทุกชนิด พลังงานนิวเคลียร์ เคมีระดับอะตอม ความลับใต้ดิน ระบบใหญ่ รัฐบาล อำนาจองค์กร โรคระบาดขนาดใหญ่ ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษยชาติ

พลูโตคือ “ผู้พิพากษาแห่งกฎจักรวาล”  เมื่อยุคใดถึงเวลาเปลี่ยน มันจะบังคับให้เปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคน

 ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมพลังงาน ดาวทั้งสามมีระบบส่งต่อพลังงานกันอย่างลงตัว: 

① มฤตยู (๐)   เป็นดาวที่จุดประกายนวัตกรรม  ทำให้เกิดความรู้ อินทรีย์ ที่เหนือสิ่งที่มนุษย์เคยรู้

ความหมายประโยคนี้ — “มฤตยู (๐) เป็นดาวที่จุดประกายนวัตกรรม ทำให้เกิดความรู้ อินทรีย์ ที่เหนือสิ่งที่มนุษย์เคยรู้”  สามารถอธิบายได้ลึกในเชิงโหราศาสตร์ไทย–สากล ดังนี้ :

 ความหมายคำว่า “จุดประกายนวัตกรรม” ดาวมฤตยู (๐) มีพลัง ไฟฟ้า ฟ้าแลบ การปฏิวัติ ฉีกกรอบ  ดังนั้นหน้าที่ของมันคือ ทำให้มนุษย์ “คิดอะไรที่ไม่เคยคิดมาก่อน”  จุดประกายแนวคิดใหม่ที่พลิกวงการ เบิกทางให้เทคโนโลยีเกิดขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใดเหมือนฟ้าผ่า 

เหตุการณ์ที่เกิดจากพลังของมฤตยู เช่น:   ไฟฟ้า, วิทยุ, โทรทัศน์, ดาวเทียม, อินเทอร์เน็ต, AI,   หุ่นยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, อวกาศ  

 ความหมายคำว่า “ทำให้เกิดความรู้ อินทรีย์

คำว่า “อินทรีย์” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง Organic (ธรรมชาติ)  แต่หมายถึง Insight, Intuition, ปัญญาญาณ, ความรู้ที่เกิดขึ้นเองโดยฉับพลัน  นั่นคือ ความรู้ที่ไม่ได้เกิดจากการศึกษาแบบเป็นขั้นตอน   แต่เกิดจากการ “ตื่นรู้” หรือ “รู้วูบเดียว” แบบฟ้าแลบ  จึงเรียกว่า Organic Knowledge = ความรู้ที่งอกขึ้นเองจากภายใน

ความรู้แบบนี้มีลักษณะ: ไม่ได้มาจากการเรียน  ไม่ได้มาจากตำรา เกิดจากการ “ส่องทางในสมองทันที” เป็นความคิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นนวัตกรรมหรือความฉลาดเฉียบพลัน เหมือนทำให้สมองมนุษย์ “เปิดไฟ” ในมุมที่ไม่เคยเปิดมาก่อน

 ความหมายคำว่า “เหนือสิ่งที่มนุษย์เคยรู้”

มฤตยูพาให้มนุษย์ก้าวข้ามระดับความรู้เดิม เช่น จากโลกที่ไม่มีไฟฟ้า → มีไฟฟ้า จากการสื่อสารโดย → วิทยุ โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต จากคำนวนช้า → คอมพิวเตอร์ → AI  จากอยู่บนโลก → ไปอวกาศ  

มฤตยูไม่ใช่แค่ทำให้เกิดความรู้ใหม่  แต่ทำให้มนุษย์ “ก้าวข้ามขีดจำกัดของยุคเดิม” แบบไม่ย้อนกลับ นี่คือความหมายของ “เหนือสิ่งที่มนุษย์เคยรู้”

 สรุปเป็นภาพรวม  มฤตยู (๐) เป็นดาวแห่งแรงปฏิวัติ  ไฟฟ้าวูบวาบ  ความฉลาดเฉียบพลัน นวัตกรรมฉีกกรอบ  ปัญญาญาณที่เกิดขึ้นเอง  ความรู้ใหม่ที่เปลี่ยนโลก  

เมื่อมฤตยูทำงาน → มนุษย์จะ “ตาสว่าง” เห็นโลกอีกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน   และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ทุกครั้ง

ต่อไปนี้คือ การวิเคราะห์ “มฤตยู (๐) จร” เมื่อเดินเข้าแต่ละภพทั้ง ๑๒ เรือนแบบโหราศาสตร์ไทย โดยเน้นเฉพาะ พลังนวัตกรรม–การปฏิวัติ–ความรู้ใหม่ ที่ดาวมฤตยูจุดประกายขึ้นในชีวิตของเจ้าชาตา

มฤตยู  ดาวแห่งการตื่นรู้ฉับพลัน, นวัตกรรมใหม่, ความคิดที่เหนือยุค, AI–เทคโนโลยี, ปฏิวัติของเก่า

  มฤตยู (๐) จรผ่าน 12 เรือน จะสร้างนวัตกรรมอะไรในชีวิต?

  มฤตยู (๐) จรผ่านภพตนุ   ทำให้เจ้าชาตามีการปฏิวัติตัวตน / ความคิดแบบฉีกกรอบ ทำใหเจ้าชาตาเปลี่ยนบุคลิก ทัศนคติ ชีวิตเริ่มคิดต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  ทำให้เกิด “ทฤษฎี–ความคิดใหม่” ของตัวเอง สนใจเทคโนโลยีทันสมัย, AI, โหราศาสตร์สากล  ทำให้คิดแบบ นักปฏิวัติ หรือ นักนวัตกรรม 

  จุดประกายนวัตกรรม : ทำให้เจ้าชาตาเกิดแนวคิดใหม่ / ตัวตนใหม่ / เส้นทางชีวิตใหม่

 มฤตยู (๐) จรผ่านภพกดุมภะ  ทำให้เจ้าชาตามีการปฏิวัติการเงิน / รูปแบบหารายได้ใหม่  เกิดรายได้จากเทคโนโลยี–งานออนไลน์ ระบบหาเงินใหม่ เช่น Crypto, Digital asset ปรับตัวเก่งด้านการเงินดิจิทัล ตัดรายได้เก่า เปิดทางรายได้ใหม่ทันที 

 จุดประกายนวัตกรรมด้าน:  การเงิน–ธุรกิจ–รายได้รูปแบบใหม่

มฤตยู (๐) จรผ่านภพสหัชชะ ทำให้มีนวัตกรรมด้านการเรียนรู้ / การติดต่อ เจ้าชาตาได้เรียนรู้อะไรเร็วขึ้นแบบฟ้าแลบ เกิดความสนใจเทคโนโลยี สื่อสาร ไอที  พัฒนางานด้านออนไลน์ การสอน การเขียน  พบเพื่อนใหม่ที่เป็นสายเทคโนโลยี–นวัตกรรม

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน: การสื่อสาร / การเรียนรู้ / คอนเทนต์ / Social media

มฤตยู (๐) จรผ่านภพพันธุ  ทำให้มีการปฏิวัติบ้าน–รากฐาน–ครอบครัว เช่น มีการรีโนเวทบ้านแบบเทคโนโลยี (Smart home) เปลี่ยนเมือง เปลี่ยนที่อยู่อย่างฉับพลัน ปรับความสัมพันธ์กับครอบครัวด้วยความคิดสมัยใหม่ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เทคโนโลยี

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน: บ้าน–อสังหาฯ– Smart home – การตั้งรากฐานใหม่

มฤตยู (๐) จรผ่านภพปุตตะ เกิดนวัตกรรมด้านความรัก / งานสร้างสรรค์ เช่น มีการสร้างงานใหม่แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ความคิดสร้างสรรค์ระเบิด ความรักเปลี่ยนแบบทันที (รักใหม่ฉับพลัน) ได้ลูกที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนทิศ 

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน:  ศิลปะ–ดนตรี–งานสร้างสรรค์–ความรัก–โครงการใหม่

มฤตยู (๐) จรผ่านภพอริ  เกิดการปฏิวัติสุขภาพ / วิธีทำงาน เช่น  เปลี่ยนนิสัยการทำงาน  เรียนรู้ระบบบริหารงานใหม่  นวัตกรรมสุขภาพ เช่น เวชศาสตร์ใหม่ การรักษาแบบแปลกใหม่ ใช้เทคโนโลยีช่วยงานให้เร็วขึ้น 

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน: สุขภาพ–การบริหารงาน–การแก้ปัญหาซับซ้อน

มฤตยู (๐) จรผ่านภพปัตนิ   เกิดความสัมพันธ์–คู่ครองเปลี่ยนรูปแบบ เช่น  เจ้าชาตาได้คู่แบบคาดไม่ถึง หรือเปลี่ยนคู่เฉียบพลัน ความสัมพันธ์กลายเป็นรูปแบบใหม่ (Modern relationship) ได้หุ้นส่วนงานด้านเทคโนโลยี  ทำงานคู่กับคนที่คิดฉีกกรอบ 

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน: ความสัมพันธ์–หุ้นส่วน–สัญญา–ธุรกิจร่วม

มฤตยู (๐) จรผ่านภพมรณะ   นวัตกรรมจากการสูญเสีย / แปรสภาพชีวิต ทำให้เกิดวัฏจักรใหญ่ในชีวิตปิด–เปิด สูญเสียเพื่อให้เกิดการตื่นรู้ระดับสูง  สนใจศาสตร์ลึกลับ–จิตวิญญาณ  เกิดแนวคิดใหม่เรื่องพลังงาน–การเงินลึก–ภาษี  

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน: การเปลี่ยนชีวิต / พลังงานลึก / จิตวิญญาณ

มฤตยู (๐) จรผ่านภพศุภะ   เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้สูง / เดินทางไกล ทำให้เจ้าชาตเกิดการตื่นรู้ทางปรัชญา–ศาสนาแบบใหม่ เดินทางไกลเพื่อเปิดประสบการณ์ เรียนศาสตร์ใหม่ เช่น โหราศาสตร์ จิตวิทยาลึก เกิดความคิดก้าวล้ำระดับโลก 

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน:  การศึกษา–ศาสนา–ต่างประเทศ–วิชาการระดับสูง

มฤตยู (๐) จรผ่านภพกัมมะ  เกิดปฏิวัติการงาน (เป็นเรือนที่มฤตยูให้ผลแรงที่สุด) งานเก่าถูกปิด–งานใหม่เริ่ม อาชีพเปลี่ยนแบบพลิกกว่าเดิม ได้งานด้านเทคโนโลยี–IT–AI–วิทยาศาสตร์  กลายเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง 

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน:  การงาน–ตำแหน่ง–วิชาชีพ–ธุรกิจล้ำสมัย

มฤตยู (๐) จรผ่านภพลาภะ  เกิดอาชีพเสริม–โครงการใหม่–เครือข่าย ทำให้เจ้าชาตาได้ “ไอเดียใหม่ ๆ” จากเพื่อนหรือเน็ตเวิร์ก เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนเป็นคนหัวใหม่ เริ่มโครงการออนไลน์–สตาร์ทอัพ เกิดเป้าหมายใหม่ในชีวิต  

  จุดประกายนวัตกรรมด้าน: โครงการใหม่–เพื่อนกลุ่มใหม่–สังคม–ความหวังใหม่

  มฤตยู (๐) จรผ่านภพวินาสน์  เกิดนวัตกรรมด้านจิตวิญญาณ–การหลุดพ้น ทำให้เจ้าชาตาปิดสิ่งที่ค้างคาในอดีต วางแผนชีวิตใหม่แบบเงียบ ๆ  สนใจปรัชญา–สมาธิ–โลกเหนือธรรมชาติ เกิดความคิดสร้างสรรค์จากความสันโดษ 

 จุดประกายนวัตกรรมด้าน: โลกภายใน–ความลับ–การแสวงหาเส้นทางใหม่ก่อนเริ่มรอบใหม่

 

② เนพจูน (น) → ดูดซับและแพร่พลังงาน ทำให้มนุษย์ “รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง” แม้ยังมองไม่เห็นรูป

 อธิบาย ธรรมชาติลึกลับของดาวเนพจูน (น) ว่าเป็น “ตัวกลางของพลังงานไร้รูป” ซึ่งส่งผลต่อมนุษย์แบบ ความรู้สึกก่อนความจริง  ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนมฤตยูหรือพลูโต

 อธิบาย ธรรมชาติลึกลับของดาวเนพจูน (น) ว่าเป็น “ตัวกลางของพลังงานไร้รูป” ซึ่งส่งผลต่อมนุษย์แบบ ความรู้สึกก่อนความจริง  ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนมฤตยูหรือพลูโต

“เนพจูน  เป็นตัวดูดซับ–กระจายคลื่นพลังงานบางอย่างที่ยังไม่เกิดรูป” ดาวเนพจูนทำงานในระดับ จิตใต้สำนึก – คลื่นความรู้สึก – intuition – ความฝัน – พลังงานที่จับต้องไม่ได้ จึงทำให้เกิดสภาวะ:    รับรู้ก่อนที่จะเห็นจริง  มนุษย์จะ:  รู้สึกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าบางสิ่งกำลังเปลี่ยน  มีความหวั่นไหว ไม่มั่นคง เหมือนคลื่นในน้ำ เหมือนลมทะเลก่อนพายุ แม้ยังไม่เห็นพายุเอง  

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า  “รู้สึกก่อนที่เหตุการณ์จะมาถึง”  และเป็นกลไกที่แตกต่างจากมฤตยู (๐) ที่ทำงานแบบ “ฉับพลัน ฟ้าแลบ”  หรือพลูโต (พ) ที่ทำงานแบบ “ลึกและรุนแรงจนเกิดรูป”

 ทำไมเรียกว่า “ดูดซับและแพร่พลังงาน”

เพราะเนพจูนเป็นดาวที่เปรียบเหมือน:  น้ำ — ดูดซับได้ทุกอย่าง  หมอก — แพร่กระจายทุกที่  คลื่น — ส่งสัญญาณโดยไม่ต้องมีรูปร่าง 

ตัวอย่างความหมาย:

① ดูดซับ (Absorb) นพจูนจะดูดซับ: อารมณ์ของคนรอบข้าง  ความหวาดกลัว–ความหวังของสังคม  ความลับ ความไม่แน่นอน ภาพลวง ข่าวลวง (Fake news)  ความเชื่อและศรัทธา

② แพร่พลังงาน (Diffuse) แล้วแผ่ขยายออกไปเป็นความรู้สึกร่วมของผู้คน เช่น: ความสับสนของสังคม  กระแสความเชื่อใหม่ ๆ  ความรู้สึกล่องลอยไร้ทิศ  ภาวะหลงผิดหรือภาพลวง  คลื่นกระแสแฟชั่น ศาสนา Yoga, New Age  ดาวเนพจูนเป็นเหมือน Wi-Fi ของพลังงานจิต ไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรม แต่ “ส่งผลแบบรู้สึกได้”

  ทำไมบอกว่า “ทำให้มนุษย์รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง แม้ยังมองไม่เห็น”

เพราะเนพจูนทำงานเป็นระดับ premonition หรือ ลางบอกเหตุ คนจะเริ่มรู้สึก เช่น: ทำไมช่วงนี้ไม่มั่นคง? ทำไมคนเริ่มคิดแปลก ๆ? ทำไมสังคมสับสน ไม่มีทิศทาง? ทำไมความเชื่อเดิมไม่ทำงานเหมือนเดิมแล้ว?  เหตุการณ์จริงจะเกิดภายหลัง  แต่เนพจูนทำให้ “ใจของมนุษย์สั่นคลอนก่อน”

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดระดับโลก: ก่อนที่ โรคระบาด จะเกิด ก่อน เ ศรษฐกิจจะถล่มสลาย  ก่อน เทคโนโลยีจะพลิกโลก จะมี “ความรู้สึกร่วม” ในสังคมว่า: อะไรบางอย่างกำลังจะมา  สังคมเริ่มแกว่ง  ผู้คนเริ่มไม่มั่นใจ  ข่าวลือแพร่กระจาย นี่คือพลังของ เนพจูนจร  เป็น “คลื่นเตือนภัย” ที่ไม่เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยหัวใจ

สรุป มฤตยู  เปลี่ยนทันที (ฟ้าแลบ)  เนพจูน  รู้สึกถึงการเปลี่ยนก่อนที่จะเกิดจริง (หมอกน้ำ)  พลูโต  เปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคน (ภูเขาไฟใต้ดิน)

เนพจูนอยู่ระหว่างมฤตยูและพลูโต  ทำหน้าที่ “ปรับความถี่จิตมนุษย์” ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของพลูโต

 “ดาวเนพจูน (น) จรผ่านเรือนไทยทั้ง ๑๒ เรือน”  โดยเน้นเฉพาะผลของเนพจูนในแบบ โหราศาสตร์ไทยร่วมสมัย คือ  ความรู้สึก ความสับสน ความฝัน–มายา ความเปราะบางทางจิต ความลื่นไหลไร้รูป ความหลุดลอย  ความลางสังหรณ์ นพจูนเป็นดาวที่ให้ผลแบบ “รู้สึกก่อนเห็น”  และมักมาในรูปของ หมอก–กระแส–คลื่นพลังงาน มากกว่าเหตุการณ์ชัดเจน

  เนพจูนจรผ่าน ๑๒ เรือนไทย   ส่งผลต่อจิตใจ–ความสับสนอย่างไร


เนพจูนจรผ่านภพตนุ เกิดความสับสนตัวตน / ภาพลักษณ์เบลอ / ไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร  เกิดความรู้สึก “ตัวฉันคือใคร?”  สับสนเป้าหมายชีวิต  ตัวตนล่องลอย คล้ายหมดทิศทาง  คนเข้าใจคุณผิดง่าย  ความอ่อนไหวมากขึ้น จิตละเอียดขึ้น  สนใจศาสนา จิตวิญญาณ นิมิต ความฝัน  

จิตใจสับสนเรื่อง: ตัวตนของตนเอง ภาพลักษณ์ ความมั่นใจ

เนพจูนจรผ่านภพกดุมภะ เกิดสับสนเรื่องเงิน / รายได้คลุมเครือ เช่น รายได้ไม่แน่นอน  ใช้เงินตามอารมณ์ มีรายรับแปลก ๆ ไร้รูป เช่น งานศิลปะ งานออนไลน์   หลงเชื่อการเงินลวงโลกได้ง่าย  ใช้เงินผิดที่จากอารมณ์หรือความเชื่อผิด  

จิตใจสับสนเรื่อง: เงิน ความมั่นคง การจัดการทรัพย์สิน


เนพจูนจรผ่าน ภพสหัชชะ  เพื่อนพี่น้องทำให้สับสน / ความคิดล่องลอย ทำให้เจ้าชาตาคิดมาก คิดฟุ้ง คิดล่องลอย  การสื่อสารเข้าใจผิด เพื่อนน่าสงสารหรือมีปัญหามาขอพึ่ง  เกิดสัญชาตญาณหรือไวต่อคำพูดมาก   สนใจสิ่งลี้ลับ ภาพลวง งานศิลป์  

จิตใจสับสนเรื่อง: ความคิด การสื่อสาร เพื่อนและพี่น้อง

เนพจูนจรผ่านภพพันธุ   บ้าน / ครอบครัว / รากเหง้ากลายเป็นเรื่องน่าห่วง บ้านมีเรื่องลับ ๆ หรือความลังเล ความกังวลที่มากับครอบครัว  ความรู้สึกอึมครึม ลาง ๆ  ตัดสินใจเรื่องบ้านไม่ได้  ต้องการอยู่เงียบ ๆ เพื่อเยียวยาใจ  

จิตใจสับสนเรื่อง: ครอบครัว ความมั่นคง รากเหง้า

เนพจูนจรผ่าน ภพปุตตะ   ความรักและความฝันผสมกัน / อุดมคติเกินจริง  เช่น รักแบบเพ้อฝัน หลงรักคนที่เข้าถึงยาก หรือรักแบบไม่มีความจริงรองรับ  เข้าสู่งานศิลปะอย่างลึก  แนวคิดสร้างสรรค์สูง แต่จัดการยาก เข้าสู่ความรักที่ “สวยงามแต่จับต้องไม่ได้” 

จิตใจสับสนเรื่อง: ความรัก งานศิลปะ ลูก และความฝันส่วนตัว

เนพจูนจรผ่านภพอริ  ปัญหาถูกซ่อน / สุขภาพสับสน / ศัตรูมองไม่เห็น เช่น  อาการป่วยประหลาด ปัญหามาแบบไม่รู้สาเหตุ ศัตรูมาแบบลับ ๆเหนื่อยง่าย หมดแรง สับสนว่าอะไรเป็นปัญหาจริง อะไรเป็นแค่ความคิด

จิตใจสับสนเรื่อง: สุขภาพ ภาระงาน ศัตรู ความเครียด

เนพจูนจรผ่านภพปัตนิ  ความรักสับสน / มองคู่ไม่ชัด / ผิดหวังเพราะคาดการณ์ผิด เช่น คู่ครองทำให้สับสน พลาดเพราะมองคนผิด เกิดความสัมพันธ์ลึกลับ หรือรักซ่อนเร้น อยากได้คู่แบบในฝัน มากกว่าความจริง เข้าใจคู่ผิดบ่อย 

จิตใจสับสนเรื่อง: คู่ครอง หุ้นส่วน สัญญา

เนพจูนจรผ่านภพมรณะ   จิตลึกสั่นคลอน / กลัวสิ่งที่ไม่มีรูป / ความฝันชัด เช่น ความตาย–ความสูญเสียเป็นเรื่องที่คิดบ่อย  ฝันแม่น ฝันแรง  กลัวสิ่งลี้ลับหรือดึงดูดสิ่งลี้ลับ  ปัญหาการเงินลึก เช่น หนี้ มรดก ไม่ชัดเจน รู้สึกเหมือนต้องปล่อยบางสิ่งไป  

จิตใจสับสนเรื่อง: ความลึก ความกลัว ความตาย การแปรสภาพ

เนพจูนจรผ่าน ภพศุภะ   สับสนศรัทธา / เปลี่ยนแนวคิดทางศาสนา เช่น  ตั้งคำถามกับความเชื่อเดิม ศึกษาเรื่องลี้ลับ ทฤษฎีใหม่ ๆ ศรัทธาสุดโต่ง หรือหมดศรัทธา เดินทางไกลด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิด สนใจสิ่งไร้รูป เช่น ปรัชญา, เมตาฟิสิกส์

จิตใจสับสนเรื่อง: ความเชื่อ ศาสนา การศึกษา การเดินทางไกล

เนพจูนจรผ่าน ภพกัมมะ   สับสนเรื่องงาน / เป้าหมายอาชีพไม่ชัด งานเบลอ ไม่เป็นรูป ผู้ใหญ่ในงานไม่น่าไว้วางใจ  หลงทิศในอาชีพ งานที่เหมือนใช่ แต่จับต้องไม่ได้  เหนื่อยง่าย หมดไฟจิตใจสับสนเรื่อง: อาชีพ เป้าหมาย การงานที่แท้จริง

เนพจูนจรผ่าน ภพลาภะ  เพื่อนร่วมงาน–เครือข่ายไม่น่าเชื่อถือ / ความหวังล่องลอย เช่น มีความหวังผิด ๆ  กลุ่มเพื่อนทำให้หลงทาง  เข้าสังคมแล้วเหนื่อย  เริ่มอยู่คนเดียวมากขึ้น  ไอเดียเยอะมาก แต่ไม่ลงมือจริง  

จิตใจสับสนเรื่อง: ความหวัง อนาคต เพื่อนฝูง โครงการใหญ่

เนพจูนจรผ่าน ภพวินาสน์   จิตวิญญาณสับสน / ฝันเยอะ / ปิดรอบชีวิต เช่น ต้องการอยู่ลำพัง  จิตใจอยากหนี อยากพัก  ความลับ ความกลัวเก่า ๆ กลับมา  นิมิตฝันแรงมาก  พบเรื่องเหนือธรรมชาติ  เข้าสู่ภาวะ spiritual awakening แบบค่อย ๆ  

จิตใจสับสนเรื่อง: โลกภายใน ความลับ กรรมเก่า การปล่อยวาง

 สรุปภาพรวมเนพจูนจร

เนพจูนไม่ได้สร้างเหตุการณ์ทันที แต่สร้าง “ความรู้สึกล่องลอย–ไม่ชัดเจน” ในภพนั้น ๆ ก่อน  ต่อมาดวงดาวอื่น (เช่น มฤตยู–พลูโต–เสาร์) จะเข้ามา “ทำให้เกิดรูปจริง” ตามหลัง


 ③ พลูโต (พ) → สร้างความจริงใหม่ ประกาศ “จุดจบของยุคเก่า” และ “จุดเริ่มของยุคใหม่”

ความหมายของประโยคนี้ — “ พลูโต (พ)   สร้างความจริงใหม่ ประกาศ ‘จุดจบของยุคเก่า’ และ ‘จุดเริ่มของยุคใหม่’” คือการอธิบาย ธรรมชาติที่แท้จริงของดาวพลูโต ว่าเป็นดาวแห่งการทำลาย–การฟื้นคืน–การเปลี่ยนแปลงระดับรากเหง้า (Transformational Power) ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นการเปลี่ยน โครงสร้างชีวิตทั้งระบบ แบบที่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว “ไม่มีวันกลับไปแบบเดิมได้อีก”

ด้านล่างคือคำอธิบายเชิงลึกที่สุด:

1) “ประกาศจุดจบของยุคเก่า” หมายถึงอะไร? 

พลูโตเป็นพลังที่คอยตรวจสอบว่า “อะไรหมดอายุแล้ว” ในชีวิตมนุษย์  และมันจะเข้ามา: รื้อถอน ทำลาย ปิดรอบ ยุติตัดจบ เคลียร์ของเก่า ที่สำคัญ — พลูโตไม่ได้ “ถามความสมัครใจ” มันทำงานแบบ บังคับเปลี่ยน (Forced Transformation)

ตัวอย่าง “ยุคเก่า” ที่พลูโตทำลาย: ความเชื่อเดิมที่ใช้ไม่ได้แล้ว ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ  รูปแบบงานที่ล้าสมัย  ระบบการเมือง–เศรษฐกิจเดิม  โครงสร้างอำนาจเก่า  ความคิดที่ยึดติดและกลัวการเปลี่ยนแปลง  เมื่อพลูโตเข้าภพใดในดวงชาตา → ภพนั้นต้องประสบ “การล่มสลายของรูปแบบเดิม” เพื่อให้พื้นที่ว่างเกิดการสร้างใหม่

 2) “จุดเริ่มของยุคใหม่” หมายถึงอะไร?

หลังจากพลูโตทำลายสิ่งที่ไม่ควรอยู่แล้ว  มันจะ “เปิดประตูใหม่” ให้สิ่งต่อไปนี้เกิดขึ้น: โครงสร้างใหม่ งานใหม่ความคิดใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่ อำนาจใหม่  พลังชีวิตแบบใหม่วตนใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม

พลูโตไม่ใช่ดาวแห่งทำลายล้าง แต่คือเป็นดาวที่ทำให้ผู้คน:  ฟื้นจากวิกฤตอย่างลึก  แข็งแกร่งกว่าเดิม  ฉลาดขึ้น  มีพลังภายใน   มีอำนาจเหนือตนเอง  มีความกล้าตัดสิ่งที่ต้องตัด ถ้าไม่มีพลูโต   โลกจะไม่พัฒนา ไม่มีวิวัฒนาการ

3) “สร้างความจริงใหม่” หมายถึง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนความคิด  แต่ “สร้างระบบใหม่ทั้งหมด” หรือ New Reality เช่น:

ระดับโลก:  เปลี่ยนอารยธรรม  เทคโนโลยีนิวเคลียร์  AI + Quantum revolution การปฏิวัติด้านการเมือง–เศรษฐกิจ  โรคระบาด–วิกฤตโลก  เปลี่ยนวัฒนธรรมมนุษย์

ระดับส่วนตัว:  เปลี่ยนอาชีพไปอีกทาง  เปลี่ยนชีวิตคู่  เปลี่ยนฐานะ  เปลี่ยนตัวตน  เปลี่ยนวิธีคิด  เปลี่ยนนิสัยถาวร 

“ความจริงใหม่” หมายถึง โลกใหม่ของเจ้าชะตาที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 4) ทำไมพลูโตจึงเป็นดาวปิดยุคเก่า–เปิดยุคใหม่?

เพราะมันเป็นดาวของ: พลังงานนิวเคลียร์  การแปรสภาพสสาร  การระเบิดภายใน  พลังที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน  ความลับของจักรวาล  ความตาย–การเกิดใหม่

พลังงานของมันจึงคล้าย:   “ภูเขาไฟใต้พิภพ”

สะสมพลังเงียบ ๆ  ก่อนจะระเบิด เปลี่ยนภูมิประเทศใหม่ทั้งแผ่นดิน  ภพใดในดวงกำเนิดที่พลูโตจรเข้า → ชีวิตในภพนั้นจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

  5) ชุดกระบวนการของสามดาว (๐–น–พ)

① มฤตยู (๐)  จุดประกายการเปลี่ยน

② เนพจูน (น)   ละลาย/เบลอความจริงเก่า

③ พลูโต (พ)  รื้อ–สร้างใหม่เป็นยุคใหม่อย่างถาวร

นี่คือ เครื่องยนต์กลไกของการวิวัฒนาการของโลก และทำไมผมถึงบอกว่า: พลูโต = ผู้ประกาศว่า “ยุคเก่าจบแล้ว — ยุคใหม่เริ่มแล้ว”

 สรุปความหมายสั้นที่สุด เป็นจุดจบของยุคเก่า   สิ่งที่ไม่ควรอยู่ถูกลบออกไป  จุดเริ่มของยุคใหม่   พื้นที่ใหม่สำหรับการสร้างชีวิตแบบใหม่  สร้างความจริงใหม่  โลกทัศน์–ชีวิต–สังคม–อารยธรรมเปลี่ยนโครงสร้างถาวร

  การพยากรณ์ “พลูโตจร” เมื่อเดินเข้าแต่ละเรือนไทยทั้ง ๑๒ เรือน  อธิบายตาม ธรรมชาติของดาวพลูโต (พ) ซึ่งมีพลัง ทำลาย–แปรสภาพ–สร้างใหม่ และส่งผลเป็นเวลา 2–3 ปีในแต่ละภพ เพราะเป็นดาวเดินช้ามาก

  ปัจจุบัน (ปลายปี 2025–2026)  พลูโตจรอยู่ที่ประมาณราศีกุมภ์ 1–3°  (ความหมายของเรือนขึ้นกับลัคนาแต่ละราย)

คำพยากรณ์ต่อไปนี้ใช้หลัก  “ถ้าพลูโตจรเข้าเรือนใด สิ่งในเรือนนั้นจะเปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคน แล้วเกิดใหม่”

พยากรณ์ พลูโตจรเข้าเรือน ๑๒ เรือน

พลูโตจรเข้าเรือนตนุ (ตนุภพ)   เปลี่ยนตัวตนทั้งระบบ ทำให้เจ้าชาตามีชีวิตเริ่ม “ยุคใหม่ของตัวเอง” บุคลิก ทัศนคติ เป้าหมาย เปลี่ยนแบบถาวร อาจตัดผมใหม่ เปลี่ยนลุค เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสังคม เป็นช่วงตื่นรู้ลึก ๆ ว่า “ตัวฉันควรเป็นใคร” เหมาะกับการเกิดใหม่, ยกเครื่องชีวิต  จุดเปลี่ยนตัวตนใหญ่ที่สุดในรอบชีวิต

พลูโตจรเข้าเรือนกดุมภะ (การเงิน) → ระบบเงินเปลี่ยนทั้งชุด เช่น รายได้เก่าหมดแบบตัดจบ รูปแบบการหาเงินใหม่เกิดขึ้น  ใช้เงินกับเรื่องจำเป็นลึก ๆ (สุขภาพ, ครอบครัว, โครงการใหญ่)  อาจเสียเงินก้อน แต่เพื่อเปิดทางรายได้ใหม่ที่มั่นคงกว่า  ปิดวัฏจักรการเงินแบบเก่า เปิดระบบใหม่

พลูโตจรเข้าเรือนสหัชชะ (พี่น้อง–การสื่อสาร)   ความสัมพันธ์ใกล้ตัวแปรสภาพ เช่น เพื่อน/พี่น้องบางคนออกจากชีวิต ได้เพื่อนใหม่ที่ทรงอิทธิพลหรือพาไปสู่เส้นทางใหม่  วิธีคิดเปลี่ยนลึก  เริ่มสนใจศาสตร์ลึก งานวิจัย หรือความจริงที่ซ่อนอยู่  โครงสร้างความคิดและคนใกล้ตัวเปลี่ยนรากฐาน

พลูโตจรเข้าเรือนพันธุ (บ้าน–ครอบครัว) → บ้านเก่า/รากเก่าถูกยกเครื่องใหม่ เช่น มีการย้ายบ้าน ขายบ้าน หรือซ่อมใหญ่ ครอบครัวผ่านเหตุการณ์สำคัญ ความรู้สึกมั่นคงเก่าถูกสั่นคลอน เพื่อสร้างฐานใหม่  ความลับในครอบครัวถูกเปิดเผย    เปลี่ยนรากชีวิต “บ้าน–ครอบครัว–แผ่นดิน”

พลูโตจรเข้าเรือนปุตตะ (รัก–งานสร้างสรรค์–ลูก)  ตัดรักเก่า เกิดรักใหม่/ผลงานใหม่ เช่น  ความรักเปลี่ยนแบบถอนราก  มีลูก หรือปัญหาเกี่ยวกับลูกมาก่อนต้องแก้ไข งานสร้างสรรค์เกิดใหม่  รักที่เข้ามามักลึกและเปลี่ยนชีวิต  สร้างเป็นยุคใหม่ด้านความรักและการสร้างสรรค์

พลูโตจรเข้าเรือนอริ (งานหนัก–สุขภาพ–ศัตรู) → เผชิญปัญหาเพื่อยกระดับชีวิต เช่น ปัญหาเก่าต้องแก้อย่างลึก  ศัตรูเก่า–ความเครียด–โรคเรื้อรังถูกเปิดเผย ถูกบังคับให้เปลี่ยนการทำงานใหม่ เมื่อรอดจากภพนี้ → แข็งแกร่งขึ้นมาก  เปลี่ยนระบบงานและสุขภาพขั้นรากฐาน

พลูโตจรเข้าเรือนปัตนิ (คู่ครอง–หุ้นส่วน) → ความสัมพันธ์ครั้งใหญ่ เช่น ความสัมพันธ์เปลี่ยนแบบถาวร แต่งงาน / หย่า / เปลี่ยนคู่ / เปลี่ยนรูปแบบรัก  คู่ครองมีบทบาทเป็นตัวเปลี่ยนชีวิต  หุ้นส่วนเก่าออก หุ้นส่วนใหม่เข้ามา   เปลี่ยนโครงสร้างคู่ครองและพันธมิตร

พลูโตจรเข้าเรือนมรณะ (แปรสภาพ–การเงินลึก–ภาษี) → ปิด–เปิดวงจรชีวิต  เป็นหนึ่งในเรือนที่พลูโตทำงานแรงที่สุด   สิ่งเก่าในชีวิตจบลงจริง  การเงินลึก เช่น ภาษี  มรดก หุ้น หนี้ ถูกเคลียร์  ภาวะจิตเปลี่ยนไปสู่ระดับสูง  ผ่านวิกฤตครั้งใหญ่เพื่อเกิดใหม่   จบยุคเก่า เปิดยุคใหม่อย่างแท้จริง

พลูโตจรเข้าเรือนศุภะ (ศาสนา–การเรียน–ต่างประเทศ) → เปลี่ยนความเชื่อ เช่น  ระบบความเชื่อเดิมพังเริ่มสนใจศาสตร์ลึก ปรัชญา วิญญาณ  เดินทางไกลเพื่อเปลี่ยนชีวิต การศึกษาระดับสูงหรือการตีความโลกแบบใหม่เกิดขึ้น   เปลี่ยนความเชื่อ–เส้นทางวิญญาณ

พลูโตจรเข้าเรือนกัมมะ (การงาน) → ปฏิวัติอาชีพครั้งใหญ่ นี่คือหนึ่งในเรือนที่แรงที่สุดเหมือนภพมรณะ เช่น งานเดิมจบ  เปลี่ยนสายงาน หรืองานพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ  ได้ตำแหน่งใหม่ที่มีอำนาจมากขึ้น  ธุรกิจใหม่เกิดจากวิกฤตเก่า  อาชีพยุคใหม่เริ่มต้นที่นี่

พลูโตจรเข้าเรือนลาภะ (เพื่อน–สังคม–ความหวัง) → เปลี่ยนเน็ตเวิร์กทั้งหมด เพื่อนเก่าออก เพื่อนใหม่ที่ทรงพลังเข้ามา เป้าหมายชีวิตใหม่เกิดขึ้น  เข้าสังคมใหม่ที่นำทางอนาคต  โครงการใหญ่ที่วางมานานเริ่มเกิด   เปลี่ยนเครือข่าย เปลี่ยนอนาคต

พลูโตจรเข้าเรือนวินาสน์ (ความลับ–จิตใต้สำนึก–ของไกล) → ชำระกรรม–จบวงจรใหญ่ เช่น ความลับถูกเปิดเผย  ต้องปล่อยวางสิ่งที่ค้างคาในชีวิต  เก็บตัว ชำระจิตใจ  เดินทางไกล หรือต่างถิ่น  เริ่มเตรียมตัวเข้าสู่ “ยุคใหม่ของชีวิต” (ก่อนตนุภพ)  → จบวัฏจักร “กรรมเก่า” เพื่อเริ่มรอบชีวิตใหม่

  ทำไมยุคนี้ (ศตวรรษที่ 21–22) คือยุคของพลูโต?  เพราะ โลกกำลังเข้าสู่พลังงานนิวเคลียร์–ฟิวชัน  Deep learning, Quantum  ภัยพิบัติใหม่ โรคใหม่  ปฏิวัติการเมือง–อำนาจรัฐ–สกุลเงิน  ความคิดมนุษย์และวัฒนธรรมเปลี่ยนแบบถาวร  นี่คือ ลักษณะของ “ยุคพลูโต” ตาม หนังสือ Pluto by Fritz Brunhubner ซึ่งจัดพิมพ์โดย National Astrological Library,USA,in 1934  ฟริตท์ บรุนฮุบเนอร์ เป็นนักโหราศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้เขียนบทความนี้ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1934  ทำนายไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ

ติดต่อสอบถามเรื่องการเรียนโหราศาสตร์ไทยระบบธาตุและเรือนชาตา หรือตรวจสอบดวงชาตา ให้อินบ๊อก  m.me/arjarnthi

Read more

สุริยคราสและจันทรคราส ส่งผลอย่างไรต่อเจ้าชาตา

สุริยคราสและจันทรคราส ส่งผลอย่างไรต่อเจ้าชาตา

การเกิดสุริยุคราส กับจันทรคราส   ให้ผลต่อดวงชาตาอย่างไร  เกณฑ์องศาที่ทำให้เกิด “สุริยคราส–จันทรคราส” ในทางโหราศาสตร์ไทยและสากลกำหนดว่า สุริยคราส (Solar Eclipse) จะเกิดเมื่อ  อาทิตย์ (๑) – จันทร์ (๒) อยู่ร่วมราศี (New Moon)  และ เข้าใกล้ “จุดราหู–จุดเกตุ” (Nodes)

การเกิดสุริยคราสและจันทรคราส จะส่งผลต่อดวงชาตาอย่างไร

การเกิดสุริยคราสและจันทรคราส จะส่งผลต่อดวงชาตาอย่างไร

การเกิดสุริยุคราส กับจันทรคราส   ให้ผลต่อดวงชาตาอย่างไร  เกณฑ์องศาที่ทำให้เกิด “สุริยคราส–จันทรคราส” ในทางโหราศาสตร์ไทยและสากลกำหนดว่า สุริยคราส (Solar Eclipse) จะเกิดเมื่อ  อาทิตย์ (๑) – จันทร์ (๒) อยู่ร่วมราศี (New Moon)  และ เข้าใกล้ “จุดราหู–จุดเกตุ” (Nodes)

รับสมัครเรียนโหราศาสตร์ไทย ระบบธาตและเรือนชาตา รุ่นที่ ๒๐

รับสมัครเรียนโหราศาสตร์ไทย ระบบธาตและเรือนชาตา รุ่นที่ ๒๐

หลักสูตรโหราศาสตร์ไทย รุ่นที่ ๒๐ โดยอาจารย์ฐิ โหราศาสตร์ ไทย มีรายละเอียดังนี้ ในการเรียนการสอน จะแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับที่ ๑ วิเคราะห์ดวงชาตาเดิม สอนพื ้นฐานโหราศาสตร์ไทย เพื่อนํามาใช้ในการวิเคราะห์ดวงชาตาเดิม โดยใช้ทั้ง ดวงราศีจักรและดวงนวางค์จักร ระดับที่ ๒ วิ

ดาวพระเคราะห์คู่-คู่ครอง-ความรัก กามารมณ์

ดาวพระเคราะห์คู่-คู่ครอง-ความรัก กามารมณ์

ท่านอาจารย์บรรเทา จันทรศร(อุตรภัทร์) ท่านกล่าวว่า เรื่องที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ไทย ที่คนอยากรู้มากที่สุด คือเรื่องคู่ครอง คนรักและกามารมณ์ ท่านอาจารย์ท่านได้นำคำกลอนจากอาจารย์ปู่นวม แห่งวัดสังเวชวิการาม ท่านเป็นโหรยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น