เคล็ดลับเกี่ยวกับ "ฆาตขัย"

คำว่าฆาต แปลว่า การฆ่า, การทำลาย. ขัย แปลว่า อายุ
คำว่า “ฆาตขัย” (บางตำราก็เขียนว่า ฆาตชัย) ในบริบทโหราศาสตร์ไทย เป็นศัพท์เฉพาะ หมายถึง
1. ความหมายตามรากศัพท์
- ฆาต = การตัด, การทำลาย, การสิ้นสุด, ความตาย
- ขัย / ชัย = ในภาษาบาลี–สันสกฤต มาจาก “ขย” (khaya) แปลว่า เสื่อม, ดับ, สูญสิ้น (ไม่ใช่ “ชัย” ที่หมายถึงชัยชนะ)
ดังนั้น ฆาตขัย จึงแปลตรงตัวได้ว่า “การตัดทำลายให้เสื่อมสูญสิ้น” ซึ่งในโหราศาสตร์หมายถึงจุดหรือจังหวะที่ทำให้สิ้นชีวิต หรือสิ้นสภาพในด้านใดด้านหนึ่งอย่างเด็ดขาด
2. ความหมายในโหราศาสตร์ไทย เป็นคำที่ใช้เรียก จุดดับหรือจังหวะอันตราย ในชีวิตเจ้าชะตา อาจหมายถึงการเสียชีวิต (Death Point) หรือ “ตายทางสังคม/การงาน” คือสูญสิ้นฐานะ เกียรติ ทรัพย์สิน หรือความสัมพันธ์จนไม่สามารถฟื้นตัวได้ง่าย มักเกิดจาก ดาวราหู หรือบาปเคราะห์ใหญ่ (เสาร์, อังคาร) ทับ/เล็งจุดสำคัญในดวง
- การเกิด คราส (สุริยคราส/จันทรคราส) แล้วจุดคราสนั้นตรงกับองศาของดาวสำคัญในดวงเดิม
- บาปเคราะห์หลายดวงโคจรมาทับหรือเล็งกันพร้อมกันในจุดสำคัญ
3. ลักษณะของฆาตขัย
เมื่อเกิดขึ้นกับ ลัคนา / เจ้าเรือนตนุ เสี่ยงต่อชีวิต เกิดกับ เจ้าเรือน กดุมภะ สูญสิ้นทรัพย์สิน เกิดกับ เจ้าเรือนปัตนิ สูญเสียคู่ครอง/หุ้นส่วน เกิดกับ เจ้าเรือนศุภะ สูญเสียความมั่นคง ฐานะทางสังคม และอื่น ๆ ตามความหมายของภพที่ถูกกระทบ
4. สรุปใจความ ฆาตขัย จุดหรือช่วงเวลาที่ดาวและมุมสัมพันธ์กระตุ้นให้ภพหรือดาวใด ๆ “ดับ” ลงอย่างรุนแรง ซึ่งในตำรามักหมายถึงการสิ้นชีวิต แต่ในความหมายกว้างอาจเป็น “ตายทั้งเป็น” เช่น สูญเสียทุกสิ่งสำคัญในชีวิต
ท่านอาจารย์บรรเทา จันทร์ศร(อุตรภัทร์) ท่านได้รวบรวมเกี่ยวกับเคล็ดลับเกี่ยวกับฆาติขัย ถือว่าเป็นเพชรเม็ดเอกของโหราศาสตร์ไทย โดยท่านได้กล่าวไว้ว่า ท่านโบราณจารย์ได้ประพันธ์เป็นคำกลอนไว้ว่า
๑. “ผิจะฆาตลัคนาอายุขัย อสุรินทร์ถึงลัคนาใน บาปเคราะห์จรไปมาทับกัน ทั้งพระจันทร์นั้นมาทับลัคนา ให้ทายตัดชีวาถึงอาสัญ”
คำพยากรณ์ตามตำราพื้นโหราศาสตร์ไทย ว่าด้วย เกณฑ์ฆาตลัคนาอายุขัย ซึ่งเป็นหนึ่งในลางร้ายที่เกี่ยวกับความเป็น–ความตายของเจ้าชะตา
อธิบายทีละส่วน
1. ความหมายของแต่ละวลี
- "ฆาตลัคนาอายุขัย" คือ เกณฑ์ที่บ่งชี้ว่า ลัคนา (ตนุลัคน์) ถูกกระทบอย่างแรงในช่วงอายุขัย โดยมีเหตุจากดาวหรือเคราะห์ร้ายมาทำมุมหรือทับ
- "อสุรินทร์ถึงลัคนา" "อสุรินทร์" ในภาษาตำราไทยโบราณ หมายถึง ราหู (๘) หรือในบางกรณีรวมถึง บาปเคราะห์หนัก เช่น ราหู/เสาร์ มาสัมพันธ์กับลัคนา "บาปเคราะห์จรไปมาทับกัน" หมายถึง ดาวบาปเคราะห์ (เสาร์–ราหู หรือเสาร์–อังคาร) จรมาทับลัคนา หรือทับกันเองในตำแหน่งใกล้ลัคนา
- "ทั้งพระจันทร์นั้นมาทับลัคนา" พระจันทร์ (๒) เป็นตัวแทนของชีวิต ร่างกาย เลือดลม และสภาพจิตใจ การที่จันทร์มาทับลัคนาในจังหวะเดียวกับบาปเคราะห์หนัก จึงถูกถือเป็นจุดเสี่ยงสูง
2. หลักการตีความ เกณฑ์นี้เป็นการรวมเงื่อนไข สามชั้นพร้อมกัน ราหูหรือบาปเคราะห์หนักถึงลัคนา บาปเคราะห์อื่นมาร่วมทับหรือต้องมุมร้ายกับลัคนา พระจันทร์มาทับลัคนาในเวลาเดียวกัน เมื่อครบทั้ง 3 เงื่อนไข → ตำราใช้คำว่า "ตัดชีวาถึงอาสัญ" ซึ่งหมายถึง อาจเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต หรือเจ็บป่วยหนักเฉียดตาย
3. หมายเหตุสำคัญ เกณฑ์นี้เป็น สัญญาณเสี่ยง ไม่ใช่คำตัดสินว่าจะเสียชีวิตแน่นอน ต้องพิจารณาร่วมกับ ดวงเดิม ว่าลัคนา–จันทร์–ดาวบาปเคราะห์ มีคุณหรือโทษเดิมอย่างไร ต้องตรวจสอบว่า ช่วงนั้นตรงกับวัยจรอายุขัยหรือไม่ และมีปัจจัยเสริมอื่น เช่น ตรีวัย–มหาทักษา–นวางค์จร–ฤกษ์จร ในหลายตำราจะใช้เกณฑ์นี้ร่วมกับ กาลจักรอายุขัย เพื่อยืนยันว่าปี–เดือนนั้นเสี่ยงสูงจริง
๒.”อนึ่งอาทิตย์และอังคารมาทับจันทร์ จะเป็นโทษผูกพันต้องจำจอง”
คำพยากรณ์จากตำราโหราศาสตร์ไทยโบราณ ซึ่งพูดถึง เกณฑ์จันทร์ถูกอาทิตย์และอังคารทับ โดยมีความหมายและการตีความดังนี้
1. ความหมายตามตำรา
- "อาทิตย์" (๑) หมายถึง ความร้อน แสงสว่าง อำนาจ เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา
- "อังคาร" (๓) หมายถึง ความขัดแย้ง การต่อสู้ การฟ้องร้อง การใช้อำนาจทางกฎหมาย
- "จันทร์" (๒) ในฐานะดาวกายา หมายถึง ร่างกาย ชีวิต จิตใจ และความเป็นอยู่ของเจ้าชะตา
"อาทิตย์และอังคารมาทับจันทร์" คือจังหวะที่ดาว ๑ และ ๓ จรมาร่วมราศีเดียวกับจันทร์ หรือทำมุมทับ/เล็งจันทร์พร้อมกัน
2. หลักการตีความ
ตำราว่า "จะเป็นโทษผูกพันต้องจำจอง" หมายถึง เสี่ยงต่อคดีความ การถูกกล่าวหา หรือมีเหตุให้ต้องขึ้นโรงพัก–ศาล อาจถูกจับกุม คุมขัง หรือถูกจำกัดเสรีภาพ ในทางจิตวิทยา อาจหมายถึงการถูกกดดันบังคับจากผู้มีอำนาจ หรือสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูก “ขัง” ทั้งกายหรือใจ
3. เงื่อนไขเสริมที่ทำให้โทษแรงขึ้น
- จันทร์ในดวงเดิมอยู่ในเรือนอริ มรณะ หรือวินาสน์
- จันทร์เดิมเป็นกาลกิณี หรืออยู่ในธาตุคู่ศัตรูกับ ๑ หรือ ๓
- จังหวะที่เกิดตรงกับ วัยจรหรือกาลจักรลัคน์จร ที่เป็นทุสนะภพ
- มีบาปเคราะห์อื่น (ราหู, เสาร์) ร่วมกระทำต่อจันทร์ด้วย
4. หมายเหตุ เกณฑ์นี้เน้นผลด้าน คดีความและการถูกกักขัง แต่ในบางเคสอาจแปลเป็นเหตุการณ์อื่นที่มีลักษณะ "จำกัดเสรีภาพ" เช่น ถูกพักงาน ติดขัดการเดินทาง หรือต้องอยู่ในสถานที่ปิดเป็นเวลานาน
๓. “อนึ่งเล่าอสุรินทร์มาทับจันทร์ อังคารนั้นเล็งลัคน์เข้าเป็นสอง ทั้งอาทิตย์ถึงเสาร์เข้าโดยปองทายสนองควรตัดว่าถึงตาย”
ข้อนี้เป็นเกณฑ์โหราศาสตร์ไทยโบราณที่จัดอยู่ในกลุ่ม “เกณฑ์อันตรายสูงสุด” เพราะเป็นการ ซ้อนเงื่อนไขร้ายหลายชั้นในเวลาเดียวกัน จึงตีความได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "อสุรินทร์มาทับจันทร์" "อสุรินทร์" หมายถึง ราหู (๘) หมายถึง ราหูจรมาร่วมราศีกับจันทร์ (๒) หรือมุมทับสนิทในองศา ในตำรา ราหูทับจันทร์ เป็นราหูอมจันทร์ หมายถึง การถูกเคราะห์ร้าย กระทบจิตใจ–ร่างกายอย่างรุนแรง เกี่ยวกับเลือดลม ภาวะโรค หรือเหตุร้ายไม่คาดฝัน
- "อังคารนั้นเล็งลัคน์เข้าเป็นสอง" อังคาร (๓) จรทำมุมตรงข้าม (เล็ง) กับลัคนา คำว่า "เข้าเป็นสอง" หมายถึง เป็นมุม 180° (เล็ง) ซึ่งในโหราศาสตร์ไทยถือเป็นการปะทะแบบตรงตัว มีแรงมาก
- "ทั้งอาทิตย์ถึงเสาร์เข้าโดยปอง" อาทิตย์ (๑) และเสาร์ (๗) จรสัมพันธ์กันในลักษณะพิเศษที่ตำราว่า "เข้าโดยปอง" "เข้าโดยปอง" หมายถึง การเล็งกันหรือกระทบกันตรง ๆ (แบบตั้งใจเล็ง) ในตำแหน่งที่ส่งโทษแก่เจ้าชะตา
2. การรวมเกณฑ์ เมื่อเอาทั้งสามเงื่อนไขมารวมกัน
- ราหูทับจันทร์ → โทษร้ายต่อชีวิตและร่างกาย
- อังคารเล็งลัคน์ → เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ/บาดเจ็บรุนแรง
- อาทิตย์–เสาร์ทำมุมปะทะร้าย → เสริมแรงเคราะห์
ผลรวม ตำราใช้คำแรงว่า "ควรตัดว่าถึงตาย" หมายถึง เป็นเกณฑ์ที่มีโอกาสเกิดเหตุร้ายแรงสูงสุดในชีวิต อาจถึงขั้นเสียชีวิต หรือเกิดเหตุที่เปลี่ยนชีวิตโดยสิ้นเชิง เช่น พิการถาวร
3. หมายเหตุสำคัญ เกณฑ์นี้จะเกิดขึ้นจริงได้ยาก เพราะต้องมีดาวหลายดวงมารวมมุมพร้อมกัน ในการพยากรณ์จริง ต้องตรวจสอบ ดวงเดิม ว่า จันทร์–ลัคนา–ดาวที่เกี่ยวข้อง เป็นคุณหรือโทษเดิมอย่างไร ต้องดู กาลจักร, ตรีวัย, ชันษาจร ประกอบ เพื่อยืนยันว่าช่วงนั้นเป็น “อายุขัย” หรือ “วัยเสื่อม” หรือไม่
ถ้าดาวเดิมมีคุณ บางครั้งเกณฑ์นี้อาจแปลเป็นเหตุร้ายเฉียดตายแต่รอดมาได้ หรือรอดด้วยการเปลี่ยนเส้นทางชีวิต
๔. “อนึ่งองค์อสุรินทร์ถึงภุมเมศ อังคารประเวศต้องพฤหัสบดีหมาย ทั้งอาทิตย์ต้องลัคน์ท่านทายตาย ด้วยอาชญาโทษร้ายมาถึงตน”
ข้อนี้เป็นเกณฑ์โหราศาสตร์ไทยโบราณที่กล่าวถึง “เหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต” โดยมีเงื่อนไขดาวหลายดวงกระทบกันพร้อมกัน ซึ่งเมื่อแยกความหมายจะได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "องค์อสุรินทร์ถึงภุมเมศ" อสุรินทร์ = ราหู (๘) ภุมเมศ = ดาวอังคาร (๓) (ภุมมะ เจ้าแห่งธาตุลม ในที่นี้คือดาวอังคาร) หมายถึง ราหูจรมาสัมพันธ์กับอังคาร อาจเป็นการทับ, เล็ง, หรือมุมร้าย (๔, ๘)
- "อังคารประเวศต้องพฤหัสบดีหมาย" อังคาร (๓) ไปสัมพันธ์กับพฤหัสบดี (๕) เช่น ทับ เล็ง หรือมุมร้าย คำว่า “ประเวศต้อง” หมายถึง การกระทบหรือสัมพันธ์ในลักษณะทำให้เกิดเหตุ
- "ทั้งอาทิตย์ต้องลัคน์" อาทิตย์ (๑) จรมาสัมพันธ์ตรงกับลัคนา (ตนุลัคน์) อาจเป็นการทับหรือเล็ง
2. การตีความตามตำรา เมื่อทั้งสามเงื่อนไขเกิดพร้อมกัน
- ราหูถึงอังคาร เคราะห์ร้ายแบบฉับพลัน รุนแรง เสี่ยงอุบัติเหตุ/คดีร้ายแรง
- อังคารถึงพฤหัส การกระทบกฎหมาย ศาล หรือผู้มีอำนาจตัดสิน
- อาทิตย์ถึงลัคนา เคราะห์พุ่งตรงถึงตัวเจ้าชะตาโดยตรง
ผลรวม ตำราว่า "ทายตาย ด้วยอาชญาโทษร้ายมาถึงตน" หมายถึง อาจเสียชีวิตหรือเกิดอันตรายร้ายแรงเพราะโทษทางกฎหมาย, การถูกลงโทษจากผู้มีอำนาจ, หรือเหตุร้ายที่มาจากการปะทะทางอำนาจ เช่น ถูกประหาร/ฆาตกรรม เสียชีวิตระหว่างถูกจับกุมหรือปฏิบัติการทางกฎหมาย อุบัติเหตุรุนแรงที่มีความเกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนกฎระเบียบหรือข้อห้าม
3. หมายเหตุสำคัญ เกณฑ์นี้จะรุนแรงมากหากใน ดวงเดิม อังคารและราหูเป็นบาปเคราะห์แรง และลัคนา–พฤหัส–อาทิตย์อยู่ในเรือนเสีย ถ้าเป็นดาวที่มีคุณเดิม อาจไม่ถึงตาย แต่อาจแปลเป็นการถูกฟ้องร้อง, ถูกจำคุก, หรือเคราะห์หนักที่เปลี่ยนชีวิต ในการพยากรณ์จริง ต้องดูประกอบกับ กาลจักร, ตรีวัย, ชันษาจร เพื่อยืนยันว่าช่วงนั้นเป็น “ปีเสื่อม–วัยเสื่อม”
๕.อนึ่งอังคารถูกพฤหัส อาทิตย์จรถึงอาทิตย์รานรอนระเหระหน จะต้องโทษผูกมัดบัญญัติตนจะต้องขับไปพ้นจากฐาน
ข้อนี้ก็เป็น เกณฑ์ร้าย จากตำราโหราศาสตร์ไทย ที่กล่าวถึงเหตุคดีความ การถูกลงโทษ หรือถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง/ถิ่นฐาน โดยมีความหมายทีละวลีดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "อังคารถูกพฤหัส" อังคาร (๓) จรมาสัมพันธ์กับพฤหัส (๕) ในมุมร้าย เช่น ทับ, เล็ง, ฉกฺฏะ (๔) หรืออัษฏะ (๘) ในเชิงโหรไทย อังคารคือการต่อสู้/คดีความ/อำนาจทางการทหารหรือกฎหมาย ส่วนพฤหัสคือผู้พิพากษา/กฎหมาย/ขุนนางผู้ใหญ่ เมื่อต้องกันในมุมร้าย จึงหมายถึง การปะทะกับกฎหมายหรือผู้ใหญ่ มีแนวโน้มเสียเปรียบ
- "อาทิตย์จรถึงอาทิตย์รานรอนระเหระหน" อาทิตย์ (๑) จรทับอาทิตย์เดิม → เป็นจุดที่พลังชีวิตและอัตตาถูกทดสอบ คำว่า “รานรอนระเหระหน” หมายถึง ถูกทำให้เดือดร้อน กระจัดกระจาย ไม่อยู่สุข
- "จะต้องโทษผูกมัดบัญญัติตน" หมายถึง การถูกลงโทษตามกฎหมาย ถูกจับกุม หรือถูกจำกัดเสรีภาพ “บัญญัติตน” คือ กฎหมาย ระเบียบ หรือคำสั่งจากผู้มีอำนาจ
- "จะต้องขับไปพ้นจากฐาน" หมายถึง การถูกไล่ออกจากตำแหน่ง หรือถูกบังคับให้ย้ายถิ่น ในบางตำราก็ใช้กับการถูกเนรเทศ หรือออกจากบ้านเมือง
2. การตีความตามตำรา เมื่อจังหวะนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ตำราว่าเป็นช่วงเสี่ยงต่อ การถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดี ถูกผู้มีอำนาจลงโทษ ให้ออกจากตำแหน่ง หรือออกจากถิ่นฐาน เกิดความขัดแย้งรุนแรงกับผู้ใหญ่ เจ้านาย หรือองค์กร
ระดับความรุนแรง ขึ้นอยู่กับ คุณภาพเดิมของอังคาร–พฤหัส–อาทิตย์ วัยจรและภพจรว่าตกในทุสนะภพหรือไม่ ปัจจัยเสริมจากบาปเคราะห์อื่น (เสาร์–ราหู)
3. หมายเหตุในเชิงพยากรณ์
- ถ้าดาวเดิมมีคุณ อาจไม่ถึงขั้นติดคุก แต่จะเป็นความเดือดร้อนจากการถูกปรับ โยกย้าย หรือถูกลดบทบาท
- ถ้าดาวเดิมเสีย และจรมาในวัยเสื่อม โทษอาจรุนแรงถึงการสูญเสียตำแหน่งหรือถูกจำคุก
๖. อนึ่งพฤหัสต้องลัคน์และบาปเคราะห์ จรเฉพาะองค์ใดมิได้ว่า มาเล็งพุธจันทร์และสุริยาถูกราหูทายว่าชีวาวาย
ข้อนี้เป็นเกณฑ์โบราณที่แรงมาก เพราะเป็นการรวมกันของ พฤหัส–ลัคนา–บาปเคราะห์ กับ ราหู–สุริย–พุธ–จันทร์ ซึ่งเมื่อตีความทีละวลี จะได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "พฤหัสต้องลัคน์และบาปเคราะห์" พฤหัสบดี (๕) จรมาสัมพันธ์ตรงกับลัคนา (ทับ/เล็ง) และในเวลาเดียวกันมีบาปเคราะห์ (เช่น เสาร์ ๗, ราหู ๘, อังคาร ๓) จรเกี่ยวข้องกับลัคนาด้วย แม้พฤหัสเป็นศุภเคราะห์ แต่เมื่อถูกบาปเคราะห์กระทำพร้อมกัน ผลคุณของพฤหัสจะถูกลดหรือพลิกเป็นโทษได้
- "จรเฉพาะองค์ใดมิได้ว่า" หมายถึง ไม่ระบุว่าบาปเคราะห์นั้นต้องเป็นดวงใดดวงหนึ่งเฉพาะเจาะจง อาจเป็นเสาร์, อังคาร หรือราหู ก็ได้ แต่เพียงให้เกิดในจังหวะเดียวกันกับพฤหัสที่ถึงลัคนา
- "มาเล็งพุธจันทร์" ดาวที่เกี่ยวข้องในจังหวะนี้มาทำมุมเล็ง (180°) กับพุธ (๔) และจันทร์ (๒) ในดวงเดิมหรือดวงจร พุธและจันทร์เป็นตัวแทนของสติปัญญา–ความคิด–ร่างกาย–จิตใจ
- "และสุริยาถูกราหู" อาทิตย์ (๑) ถูกราหู (๘) กระทำ (ทับ/เล็ง) → เกณฑ์ “ราหูอมอาทิตย์” เป็นตำราที่ให้โทษแรง เกี่ยวกับอำนาจ ชีวิต และจิตใจ
- "ทายว่าชีวาวาย" เมื่อตำแหน่งเหล่านี้เกิดพร้อมกัน ตำราว่าอาจถึงแก่ชีวิต หรือเกิดเหตุร้ายแรงขั้นเปลี่ยนชะตาชีวิตถาวร (เช่น พิการ)
2. การตีความรวม แกนแรก: พฤหัสถึงลัคนา ปกติเป็นคุณ แต่ถ้ามีบาปเคราะห์มาร่วมด้วย จะกลายเป็นเคราะห์ใหญ่ แกนที่สอง: บาปเคราะห์มาเล็งพุธ–จันทร์ ส่งผลตรงต่อร่างกายและจิตใจ แกนที่สาม: อาทิตย์ถูกราหู เคราะห์ชีวิต จุดเปลี่ยนแบบไม่คาดฝัน เมื่อนำทั้งสามแกนมาประกอบกัน ตำราระบุชัดว่าเป็น เกณฑ์ถึงตาย
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ เกณฑ์นี้ไม่ใช่จะเกิดผลแรงทุกครั้ง ต้องพิจารณา คุณภาพดาวเดิม และ ภพจร ถ้าดาวเดิมมีคุณและไม่อยู่ในทุสนะภพ ผลอาจลดเหลือเพียงอุบัติเหตุใหญ่หรือเจ็บป่วยหนัก แต่ถ้าดาวเดิมเสีย + ชันษาจรเสื่อม + ภพจรเป็นทุสนะ ความรุนแรงจะใกล้เคียงคำว่า “ชีวาวาย” ตามตำรา
๗.อนึ่งพฤหัสถูกจันทร์และภุมเมศ เล็งอังคารสุริเยศ ต้องลัคน์หมาย จะต้องโทษราชฑัณฑ์อาชญาตาย ตำหรับทายชีวาตะแบงชอน
ข้อนี้เป็นอีกเกณฑ์หนึ่ง เกณฑ์ร้ายขั้นสูง จากตำราโหราศาสตร์ไทย ที่ระบุชัดถึงความเสี่ยงต่อ “ราชฑัณฑ์” หรือโทษทางกฎหมายถึงขั้นตาย พร้อมบรรยายเชิงอุปมา “ชีวาตะแบงชอน” หมายถึงความตายที่ดิ้นรนหนีไม่พ้น ซึ่งสามารถแยกความหมายทีละส่วนได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "พฤหัสถูกจันทร์และภุมเมศ" พฤหัสบดี (๕) ถูกกระทำ (ทับ/เล็ง/มุมร้าย) โดย จันทร์ (๒) และ ภุมเมศ (๓ – อังคาร) พฤหัสปกติเป็นศุภเคราะห์ หมายถึง กฎหมาย ความยุติธรรม ผู้ใหญ่ เมื่อถูกจันทร์และอังคารกระทำในมุมร้าย แปลว่ากฎหมายหรือผู้ใหญ่จะถูกกระทบด้วยความเร่งร้อน วุ่นวาย อาจเป็นคดีร้ายแรง
- "เล็งอังคารสุริเยศ" อังคาร (๓) และ สุริเยศ (๑ – อาทิตย์) ทำมุมเล็งกัน มุมปะทะรุนแรง แทนอำนาจ การปะทะ การต่อสู้ และเหตุร้ายแบบเผชิญหน้า
- "ต้องลัคน์หมาย" หมายถึง ลัคนา (ตนุลัคน์) ถูกมุมร้ายจากกลุ่มดาวนี้โดยตรง เคราะห์กระทบเจ้าชะตาเต็ม ๆ
- "จะต้องโทษราชฑัณฑ์อาชญาตาย" “ราชฑัณฑ์” คือโทษทางกฎหมายโดยรัฐ “อาชญาตาย” คือโทษถึงชีวิตหรือเหตุร้ายที่ทำให้เสียชีวิต รวมกันหมายถึง ถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากกฎหมาย อาจถึงขั้นเสียชีวิต
- "ตำหรับทายชีวาตะแบงชอน" เป็นสำนวนโบราณ แปลว่า ตายแบบดิ้นรนสุดกำลังแต่หนีไม่พ้น บ่งบอกถึงความรุนแรงและความหลีกเลี่ยงได้ยากของเหตุการณ์
2. การตีความรวม พฤหัส (กฎหมาย/ผู้ใหญ่) ถูก จันทร์ (ร่างกาย/ชีวิต) และ อังคาร (ความรุนแรง) กระทำ อังคาร และ อาทิตย์ (อำนาจ/ผู้นำ) เล็งกัน เป็นความขัดแย้งกับผู้มีอำนาจ ทั้งหมดนี้กระทบ ลัคนา โดยตรง เจ้าชะตาได้รับผลร้ายโดยตรง ตำราจึงพยากรณ์เป็นโทษทางกฎหมายร้ายแรง อาจรวมถึงโทษประหาร หรือเหตุการณ์ที่มีผลเทียบเท่า
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ เกณฑ์นี้รุนแรงมากเมื่อเกิดใน วัยเสื่อม–ปีเสื่อม และดาวเดิมในภพกัมมะ/อริ/มรณะเสีย ถ้าดาวเดิมมีคุณ อาจแปลเป็นเหตุร้ายระดับหนักแต่ไม่ถึงตาย เช่น คดีใหญ่ การถูกปลด/ถูกจำกัดเสรีภาพ หรือการสูญเสียฐานะอย่างถาวร ควรตรวจประกอบกับ ตรีวัย, กาลจักร, ชันษาจร เพื่อดูความพร้อมของจังหวะร้าย
๘. อนึ่งเสาร์เล็งลัคน์ ครูเล็งจันทร์ พระศุกร์นั้นต้องพระเสาร์มาสังหรณ์ จะตายในปีนั้นพยากรณ์ เพราะหญิงร้ายราญรอนท่านทำนาย
ข้อนี้เป็นเกณฑ์โหรไทยโบราณที่มีความหมายเฉพาะตัว เพราะโยงเคราะห์ร้ายเข้ากับ “เพศตรงข้าม” โดยเฉพาะผู้หญิง จึงตีความได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "เสาร์เล็งลัคน์" เสาร์ (๗) เป็นบาปเคราะห์ใหญ่ หมายถึง ความทุกข์ ความล่าช้า โรคภัย ความคับแค้น เล็งลัคนา เคราะห์ร้ายมุ่งตรงสู่เจ้าชะตา เสี่ยงปัญหาสุขภาพ เหตุร้าย หรือความทุกข์กดดัน
- "ครูเล็งจันทร์" “ครู” ในตำราไทย หมายถึง พฤหัสบดี (๕) เล็งจันทร์ (๒) ในเกณฑ์นี้มักตีความว่า พฤหัส (ศุภเคราะห์) ถูกบังคับให้ทำหน้าที่ในเชิงเคราะห์ เพราะเล็งจันทร์ในจังหวะที่มีเงื่อนไขอื่นร้ายประกอบ จันทร์แทนร่างกาย จิตใจ และเพศหญิง
- "พระศุกร์นั้นต้องพระเสาร์มาสังหรณ์" ศุกร์ (๖) หมายถึง ความรัก เพศตรงข้าม ผู้หญิง ถูกเสาร์ (๗) กระทำ (ทับ/เล็ง/มุมร้าย) ความรักหรือผู้หญิงกลายเป็นสาเหตุของความทุกข์ เคราะห์ร้าย หรือความสูญเสีย
- "จะตายในปีนั้นพยากรณ์ เพราะหญิงร้ายราญรอนท่านทำนาย" เมื่อตำแหน่งดาวเหล่านี้เกิดพร้อมกันในปีเดียวกัน ตำราระบุว่าอาจเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
- “หญิงร้ายราญรอน” หมายถึง ความขัดแย้ง การหักหลัง หรือปัญหาจากผู้หญิงเป็นเหตุให้เกิดเคราะห์ร้ายถึงชีวิต อาจหมายตรงตัว (หญิงเป็นเหตุโดยตรง) หรือเชิงสัญลักษณ์ (เรื่องความรัก/ความสัมพันธ์เป็นชนวนเหตุ)
2. การตีความรวม เสาร์เล็งลัคน์ เคราะห์ใหญ่ถึงตัว พฤหัสเล็งจันทร์ เรื่องกฎหมาย/ผู้ใหญ่กระทบชีวิตและจิตใจ ศุกร์ถูกเสาร์ ความรัก/ผู้หญิงเป็นเคราะห์ รวมกัน เสี่ยงอุบัติเหตุร้าย เจ็บป่วยหนัก หรือเสียชีวิต โดยมี “ผู้หญิง” หรือ “เรื่องรัก” เป็นตัวจุดชนวน
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ หากดาวศุกร์ในดวงเดิมอยู่ในเรือนกัมมะ, ปัตนิ หรือปุตตะ ผลมักเกี่ยวข้องกับคู่ครองหรือความรักโดยตรง ถ้าศุกร์เดิมเสีย (เช่น เป็นกาลกิณี, อยู่ธาตุคู่ศัตรู, ร่วมบาปเคราะห์) ผลร้ายจะเพิ่มระดับ ควรตรวจประกอบกับ ตรีวัย, กาลจักร, ชันษาจร เพื่อดูว่าปีนั้นเป็นปีเสื่อมและดาวจรเข้าเงื่อนไขครบหรือไม่
๙. อาทิตย์เล็งราหู จันทร์ต้องลัคน์ พระเสาร์ทักถูกอังคาร ทำนายหมาย อย่าสร้างเรือนใหม่จะให้ตาย ว่าพระเคราะห์ร้ายท่านห้ามในตำรา
ข้อนี้เป็น เกณฑ์ร้ายแบบเฉพาะเรื่อง จากตำราโหรไทยโบราณ ซึ่งระบุชัดเจนถึง “ข้อห้าม” โดยเฉพาะการสร้างเรือนใหม่ในช่วงที่ดาวจรเข้าเงื่อนไขนี้ เพราะถือว่าเป็นเคราะห์ร้ายแรงถึงชีวิต จะแยกความหมายได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "อาทิตย์เล็งราหู" อาทิตย์ (๑) คือชีวิต อัตตา เกียรติ และหัวหน้าครอบครัว ราหู (๘) คือเคราะห์ร้าย มืดมน การถูกกลืน เล็งกัน (180°) → เกณฑ์ ราหูอมอาทิตย์ หมายถึงการถูกเคราะห์ร้ายกระทบชีวิต อำนาจ และความมั่นคงของเจ้าชะตา
- "จันทร์ต้องลัคน์" จันทร์ (๒) คือร่างกาย จิตใจ ครอบครัว “ต้องลัคน์” หมายถึง จันทร์จรมาทับหรือเล็งลัคนา ทำให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในภาวะอ่อนไหว เสี่ยงต่อโรคภัยหรือเหตุร้าย
- "พระเสาร์ทักถูกอังคาร" เสาร์ (๗) และ อังคาร (๓) เป็นบาปเคราะห์ทั้งคู่ “ทักถูก” หมายถึง การกระทบกันด้วยมุมร้าย (ทับ, เล็ง, ฉกฺฏะ หรืออัษฏะ) มุมนี้หมายถึงความรุนแรง การปะทะ อุบัติเหตุ และความสูญเสีย
- "ทำนายหมาย อย่าสร้างเรือนใหม่จะให้ตาย" การสร้างเรือนใหม่ในช่วงที่ดาวจรอยู่ในเกณฑ์นี้ จะเป็นการเปิดช่องให้เคราะห์ร้ายเข้ามาแรงขึ้น “จะให้ตาย” หมายถึง เสี่ยงอุบัติเหตุร้ายแรงหรือเหตุไม่คาดฝันถึงขั้นเสียชีวิตแก่เจ้าของเรือนหรือผู้อยู่อาศัย
- "ว่าพระเคราะห์ร้ายท่านห้ามในตำรา" ตำราระบุชัดว่าถ้าดาวจรเข้าชุดนี้ ห้ามประกอบพิธีขึ้นบ้านใหม่หรือย้ายเข้าบ้านใหม่โดยเด็ดขาด
2. การตีความรวม แกนเคราะห์ชีวิต อาทิตย์เล็งราหู แกนเคราะห์ร่างกาย/ครอบครัว จันทร์ทับ/เล็งลัคนา แกนเคราะห์รุนแรง เสาร์กระทบอังคาร เมื่อเกิดครบพร้อมกัน ตำราจึงถือว่าเป็น “ฤกษ์ตาย” ไม่เหมาะกับการเริ่มต้นสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวกับบ้านและครอบครัว เพราะเคราะห์จะตกกับหัวหน้าครอบครัวหรือเจ้าของเรือนโดยตรง
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ ถึงแม้ในปัจจุบันบางคนอาจไม่ถือข้อห้ามนี้ แต่ถ้าดวงเดิมมีจุดอ่อนตรงลัคนา–อาทิตย์–จันทร์อยู่แล้ว การกระทำในช่วงนี้อาจไปกระตุ้นเคราะห์ให้แรงขึ้น หากจำเป็นต้องสร้างหรือขึ้นบ้านใหม่ ควรหาฤกษ์อื่นที่เลี่ยงทั้ง 3 แกนนี้ และควรประกอบพิธีแก้เคราะห์ตามคติเดิม
๑๐. อาทิตย์ต้องอาทิตย์ เสาร์ถูกจันทร์ อังคารนั้นถึงเสาร์ในชันษา จะตายด้วยไข้ลมเป็นโรคาในตำราทายตัดวิบัติเป็น
ข้อนี้เป็น เกณฑ์เคราะห์ร้ายด้านสุขภาพ จากตำราโหราศาสตร์ไทยโบราณ โดยเน้นโรคภัยที่เกี่ยวกับ “ไข้ลม” หรือระบบประสาทและทางเดินหายใจ พร้อมคำพยากรณ์แรงว่าอาจถึงตายหรือตัดวิบัติได้ ซึ่งสามารถแยกความหมายทีละส่วนได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "อาทิตย์ต้องอาทิตย์" อาทิตย์ (๑) จรทับอาทิตย์เดิม เป็นจุด “สุริยกลับ” (Solar Return) หากในปีนั้นมีบาปเคราะห์อื่นเข้ามาร่วมกระทำ จะทำให้ผลร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือเกียรติยศแรงขึ้น อาทิตย์แทนชีวิต หัวใจ ระบบหมุนเวียนเลือด และหัวหน้าในครอบครัว
- "เสาร์ถูกจันทร์" เสาร์ (๗) ถูกจันทร์ (๒) กระทำ หรือจันทร์ถูกเสาร์กระทำ ในตำราโบราณถือว่าเป็น “จันทร์ทับเสาร์” หรือ “เสาร์ทับจันทร์” เป็นมุมโศกเศร้า อ่อนแรง เจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะด้านระบบน้ำเหลือง เลือดลม และจิตใจ
- "อังคารนั้นถึงเสาร์ในชันษา" อังคาร (๓) จรถึงเสาร์ (๗) ในดวงเดิมหรือดวงจรประจำปีชันษา เป็นมุมรุนแรงที่บ่งถึงการปะทะ อุบัติเหตุ การบาดเจ็บ และความร้อนที่กระทบร่างกาย
2. การตีความรวมตามตำรา เมื่อตำแหน่งเหล่านี้เกิดในปีเดียวกัน (ปีชันษา) อาทิตย์ต้องอาทิตย์ เคราะห์ชีวิตกำเริบ เสาร์ถูกจันทร์ ร่างกายและจิตใจอ่อนแอ เสี่ยงโรคเรื้อรัง อังคารถึงเสาร์ ภาวะร่างกายเผชิญทั้งความร้อนและความกดทับ → ตำราจึงทายว่า “จะตายด้วยไข้ลมเป็นโรคา”
ไข้ลม ในความหมายโบราณ หมายถึง โรคระบบประสาท ลมปราณ ภูมิแพ้ หอบหืด หรือโรคทางเดินหายใจ ตัดวิบัติเป็น อาจถึงขั้นเสียชีวิต หรือพิการ/เสียความสามารถบางส่วน
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ ถ้าดาวเดิม (๑, ๒, ๓, ๗) อยู่ในเรือนดีและมีคุณ ผลร้ายอาจลดลงเป็นเพียงการเจ็บป่วยรุนแรงชั่วคราว ถ้าดาวเดิมเสีย + ปีชันษาเป็น “วัยเสื่อม” หรือทุสนะภพ ผลร้ายจะเข้าใกล้คำว่าตัดวิบัติในตำรา คำว่า “ไข้ลม” อาจครอบคลุมไปถึงโรคหลอดเลือดสมอง หัวใจวาย หรือโรคระบบประสาทเฉียบพลันในความหมายปัจจุบัน
๑๑.อนึ่งอังคารทับลัคน์ทำนายไว้ ราหูไซร้ถูกจันทร์จะเกิดเข็ญ พระอาทิตย์ต้องเสาร์เฉพาะเป็นพิเคราะห์เห็นต้องตายด้วยพิษยา
ข้อนี้เป็น เกณฑ์ร้ายเฉพาะทาง ที่ตำราระบุชัดว่ามีความเสี่ยง “ตายด้วยพิษยา” หรือการเสียชีวิตจากสารพิษ, ของมึนเมา, หรือสิ่งที่เข้าสู่ร่างกาย โดยมีความหมายทีละวลีดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "อังคารทับลัคน์ทำนายไว้" อังคาร (๓) คือความร้อน ความเร่งร้อน ความขัดแย้ง และของมีคม ทับลัคน์ (ตนุลัคน์) เคราะห์ร้ายกระทบเจ้าชะตาตรง ๆ ทั้งร่างกายและสถานะ ในเชิงสุขภาพ หมายถึงอุบัติเหตุ บาดแผล การอักเสบ หรือการได้รับสิ่งอันตราย
- "ราหูไซร้ถูกจันทร์จะเกิดเข็ญ" ราหู (๘) กระทำต่อจันทร์ (๒) เกณฑ์ ราหูอมจันทร์ จันทร์แทนร่างกาย จิตใจ และของเหลวในร่างกาย เป็นเคราะห์ร้ายทางร่างกายและจิตใจ เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรง หรือถูกล่อลวงหลอกล่อให้นำสิ่งไม่ดีเข้าสู่ร่างกาย
- "พระอาทิตย์ต้องเสาร์เฉพาะเป็น" อาทิตย์ (๑) ถูกเสาร์ (๗) กระทำ (ทับ/เล็ง/มุมร้าย) → เกณฑ์ อาทิตย์–เสาร์ ซึ่งโบราณถือเป็นมุมร้ายที่ทำลายพลังชีวิตและอำนาจ ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรม เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว
- "พิเคราะห์เห็นต้องตายด้วยพิษยา" เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน ตำราวิเคราะห์ว่าเป็นเหตุร้ายจาก “พิษ” หรือ “ยา” ในความหมายโบราณ “พิษยา” ครอบคลุมทั้งยาพิษจริง, ยาเสพติด, สุรา, ของหมักดอง, หรือสารที่ทำลายร่างกายเมื่อรับเข้าสู่ร่างกาย อาจหมายถึงการถูกวางยา, กิน/ฉีดสารเกินขนาด, หรือเสพสิ่งเสพติดจนร่างกายล้มเหลว
2. การตีความรวม แกนร่างกาย–อุบัติเหตุ อังคารทับลัคน์ แกนจิตใจ–สุขภาพ ราหูถูกจันทร์ แกนชีวิต–พลัง → อาทิตย์ถูกเสาร์ เมื่อตรงกันพร้อมกัน เสี่ยงเหตุร้ายรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับสารพิษหรือสิ่งที่เข้าสู่ร่างกาย ตำราจึงทายว่า “ตายด้วยพิษยา”
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ หากดาวเดิม (๓, ๘, ๒, ๑, ๗) อยู่ในภพเสียหรือเป็นกาลกิณี และจรเข้าเงื่อนไขพร้อมกันในวัยเสื่อม ความรุนแรงจะตรงตามตำรา ถ้าดาวเดิมมีคุณ อาจแปลเป็นการเจ็บป่วยรุนแรงจากอาหาร/ยา หรืออุบัติเหตุจากสารเคมี แต่ไม่ถึงตาย ในปัจจุบันอาจขยายความครอบคลุมถึง พิษจากสารเคมี, แก๊ส, ยาเกินขนาด, แอลกอฮอล์, หรือยาเสพติด
๑๒. อนึ่งอสุรินทร์ทับลัคน์อยู่ พระพุทธเล็งราหูวิหิงสา พระอังคารต้องเสาร์แทรกเข้ามา เสาร์เล็งศุกราท่านทำนาย จะสิ้นสูญอายุสังขารา ตกต้นพฤษาสูงฉิบหาย อายุตัดเร่งระมัดบัญญัติกาย พระเคราะห์ร้ายนักอยู่จงรู้ตน
ข้อนี้เป็นหนึ่งใน เกณฑ์ร้ายขั้นสูงสุด ตามตำราโหราศาสตร์ไทยโบราณ เพราะเป็นการรวมมุมร้ายหลายชั้นพร้อมกัน และยังใช้คำพรรณนาแรงถึงขั้น “ตกต้นพฤษาสูงฉิบหาย” เพื่อเน้นความอันตรายเฉียบพลัน ซึ่งสามารถแยกความหมายได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "อสุรินทร์ทับลัคน์อยู่" อสุรินทร์ = ราหู (๘) ทับลัคนา เคราะห์ร้ายมุ่งตรงถึงเจ้าชะตา ทั้งด้านร่างกาย ชีวิต และสถานะ ราหูทับลัคน์โบราณถือว่าเป็นเคราะห์ร้ายระดับ “จุดเปลี่ยนชะตาชีวิต” โดยมากมักไม่ราบรื่น
- "พระพุทธเล็งราหูวิหิงสา" พระพุทธ = พุธ (๔) เล็งราหู (๘) ในเชิงมุมร้าย “วิหิงสา” หมายถึง การเบียดเบียน การประทุษร้ายจากผู้อื่น บ่งถึงเคราะห์จากการติดต่อ คำพูด เอกสาร หรือการเดินทางที่นำพาความเสียหาย
- "พระอังคารต้องเสาร์แทรกเข้ามา" อังคาร (๓) ถูกเสาร์ (๗) กระทำ (ทับ/เล็ง/มุมร้าย) เป็นมุมบาปเคราะห์คู่ร้าย หมายถึงอุบัติเหตุรุนแรง การบาดเจ็บ สถานการณ์คับขัน
- "เสาร์เล็งศุกราท่านทำนาย" เสาร์ (๗) เล็งศุกร์ (๖) ในเชิงโหรไทย เป็นมุมร้ายที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์, คู่ครอง, หรือการเงิน เมื่ออยู่ในบริบทนี้ หมายถึงการถูกตัดขาดจากสิ่งที่รัก หรือสูญเสียทรัพย์/คนรักในจังหวะเคราะห์
- "จะสิ้นสูญอายุสังขารา" รวมความทั้งหมดแล้ว ตำราว่าอาจเสียชีวิตหรือสภาพร่างกายพังทลายอย่างฉับพลัน
- "ตกต้นพฤษาสูงฉิบหาย" เป็นอุปมาถึงการพลัดตกจากที่สูง อาจหมายตรงตัว (อุบัติเหตุพลัดตก) หรือเชิงสัญลักษณ์ (ตกจากตำแหน่งสูง สูญเสียเกียรติและฐานะ)
- "อายุตัดเร่งระมัดบัญญัติกาย" เตือนให้ระวังตัว รักษาร่างกาย และเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
- "พระเคราะห์ร้ายนักอยู่จงรู้ตน" เป็นคำปิดท้ายเพื่อย้ำว่า เคราะห์นี้รุนแรงมาก ต้องรู้จักตนและระวังอย่างยิ่ง
2. การตีความรวม เมื่อเงื่อนไขเหล่านี้เกิดในปีเดียวกันหรือช่วงเวลาเดียวกัน แกนเคราะห์ชีวิต: ราหูทับลัคน์ แกนเคราะห์การสื่อสาร/การตัดสินใจ: พุธเล็งราหู แกนอุบัติเหตุรุนแรง: อังคาร–เสาร์ แกนเคราะห์ความสัมพันธ์/การสูญเสีย: เสาร์เล็งศุกร์
ผลรวม เสี่ยงต่อเหตุร้ายเฉียบพลัน เช่น อุบัติเหตุจากการตกจากที่สูง, การพลัดตก, การชน, หรือการสูญเสียใหญ่ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ตำราจึงบอกว่า “อายุตัด” คืออายุถูกตัดลงก่อนกำหนด
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ ถ้าดาวเดิม (๘, ๔, ๓, ๗, ๖) อยู่ในเรือนเสียหรือเป็นกาลกิณี ผลร้ายจะตรงตามตำรา ถ้าอยู่ในวัยเสื่อม + ภพจรเป็นทุสนะภพ → เคราะห์จะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการ ในยุคปัจจุบัน คำว่า “ตกต้นพฤษาสูง” อาจหมายถึง อุบัติเหตุจากที่สูง, ตกบันได, ตกตึก, ตกจากพาหนะที่อยู่สูง, หรืออุบัติเหตุจากเครื่องจักร
๑๓. อนึ่งศุกร์ต้องเสาร์ จันทร์เล็งจันทร์ ราหูนั้นเล็งพุธอย่าฉงน พระอาทิตย์ต้องลัคน์เป็นสาลวนจะตกในสายชลชีวาวาย
ข้อนี้เป็นเกณฑ์ร้ายจากตำราโหราศาสตร์ไทยที่ผูกเคราะห์เข้ากับ “น้ำ” และอุบัติเหตุทางน้ำ พร้อมระบุผลถึงขั้น “ชีวาวาย” ซึ่งสามารถอธิบายทีละส่วนได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "ศุกร์ต้องเสาร์" ศุกร์ (๖) หมายถึง ความสุข ความรัก การพักผ่อน และธาตุน้ำในบางตำรา เสาร์ (๗) เป็นบาปเคราะห์ หมายถึง ความทุกข์ ความเสียหาย ความเย็นแข็ง เมื่อศุกร์ถูกเสาร์กระทำ (ทับ/เล็ง/มุมร้าย) ความสุขกลายเป็นความทุกข์ ความเพลิดเพลินแปรเป็นเคราะห์ร้าย และในเชิงธาตุ หมายถึงน้ำถูกทำให้เป็นโทษ
- "จันทร์เล็งจันทร์" จันทร์ (๒) หมายถึงร่างกาย จิตใจ และธาตุน้ำโดยตรง เล็งกัน (๒ จรเล็ง ๒ เดิม) เป็นการกระตุ้นเคราะห์หรือเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับน้ำ, จิตใจ, หรือเพศหญิง ในบริบทนี้เป็นการเร้าเคราะห์น้ำให้แรงขึ้น
- "ราหูนั้นเล็งพุธอย่าฉงน" ราหู (๘) เล็งพุธ (๔) เกณฑ์วิหิงสาในเรื่องการเดินทาง, การติดต่อ, หรือการตัดสินใจผิดพลาด อาจหมายถึงเหตุร้ายจากการสื่อสารผิดพลาด หรือการเคลื่อนไหวในที่เสี่ยง (เช่น พื้นที่น้ำ, ทะเล, แม่น้ำ)
- "พระอาทิตย์ต้องลัคน์เป็นสาลวน" อาทิตย์ (๑) ทับลัคน์ (ตนุลัคน์) เคราะห์ชีวิตมุ่งตรงถึงเจ้าชะตา “สาลวน” เป็นคำโบราณ หมายถึง การหมุนวนเหมือนสายน้ำวน หรือกระแสน้ำหมุน
- "จะตกในสายชลชีวาวาย" สายชล = กระแสน้ำ ตำราทายตรงตัวว่า เสี่ยงจมน้ำหรือตกน้ำจนเสียชีวิต ในบางกรณีอาจหมายถึงอุบัติเหตุทางน้ำ เช่น เรือพลิก, รถตกน้ำ, หรือถูกกระแสน้ำพัด
2. การตีความรวม แกนเคราะห์น้ำ: ศุกร์ต้องเสาร์ + จันทร์เล็งจันทร์ แกนการเคลื่อนไหวผิดพลาด: ราหูเล็งพุธ แกนเคราะห์ชีวิตตรงตัว: อาทิตย์ทับลัคน์ เมื่อรวมกัน เสี่ยงอุบัติเหตุทางน้ำร้ายแรงถึงชีวิต หรือการพลัดตกจากที่สูงลงน้ำ ตำราจึงระบุชัดว่า “ชีวาวาย”
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ ถ้าดาวเดิม (๖, ๒, ๔, ๑) อยู่ในภพเสีย หรือเป็นกาลกิณี และจรเข้าเงื่อนไขพร้อมกันในวัยเสื่อม ผลร้ายจะตรงตามตำรา ถ้าดาวเดิมมีคุณ อาจแปลเป็นเหตุร้ายรุนแรงเกี่ยวกับน้ำแต่ไม่ถึงตาย เช่น เกือบจมน้ำ, อุบัติเหตุทางเรือ, น้ำท่วมทำให้เสียทรัพย์ ในยุคปัจจุบัน ขยายความครอบคลุมไปถึงการเสียชีวิต/บาดเจ็บจากน้ำในอ่าง, สระว่ายน้ำ, หรือระบบน้ำในอาคาร
๑๔. "อนึ่งพระเสาร์มาพ้องต้องภุมเมศ อังคารประเวศเล็งลัคนาหมาย อาทิตย์ถูกอังคารท่านภิปราย อังคารต้องอาทิตย์ตายด้วยพิษงู"
ข้อนี้เป็น เกณฑ์ร้ายเฉพาะทาง ที่ตำราระบุสาเหตุการเสียชีวิตชัดเจนว่า “ตายด้วยพิษงู” ซึ่งในความหมายโบราณอาจหมายตรงตัว หรือเป็นสัญลักษณ์ของพิษร้ายแรงที่เข้าสู่ร่างกาย โดยสามารถแยกความหมายได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "พระเสาร์มาพ้องต้องภุมเมศ" เสาร์ (๗) เป็นบาปเคราะห์ใหญ่ หมายถึงความเย็น ความช้า ความทุกข์ ภุมเมศ = อังคาร (๓) เจ้าแห่งธาตุลมและความร้อน “พ้องต้อง” หมายถึง การกระทบกัน (ทับ/เล็ง/มุมร้าย) ระหว่างเสาร์กับอังคาร เป็นมุมบาปเคราะห์คู่ร้ายที่โบราณถือว่ารุนแรงมาก
- "อังคารประเวศเล็งลัคนาหมาย" อังคาร (๓) เล็งลัคนา เคราะห์ร้ายกระทบตรงถึงตัวเจ้าชะตา ในเชิงสุขภาพ หมายถึงการบาดเจ็บ การอักเสบ การถูกของมีคม หรือสัตว์ร้ายทำร้าย
- "อาทิตย์ถูกอังคารท่านภิปราย" อาทิตย์ (๑) ถูกอังคาร (๓) กระทำในมุมร้าย ทำให้พลังชีวิตและร่างกายเผชิญความรุนแรง ร้อนแรง หรือเหตุปะทะ
- "อังคารต้องอาทิตย์ตายด้วยพิษงู" อังคารและอาทิตย์ทำมุมกระทบกันทั้งสองทาง (ต่างกระทำซึ่งกันและกัน) ในความหมายโบราณ “พิษงู” อาจหมายถึง ตรงตัว: ถูกงูกัดจนเสียชีวิต
- เชิงสัญลักษณ์: พิษร้ายจากสัตว์เลื้อยคลาน หรือสารพิษรุนแรงที่เข้าสู่ร่างกายอย่างฉับพลัน เช่น พิษจากสัตว์มีพิษ, ยาพิษ, สารเคมีรุนแรง, อาหารเป็นพิษอย่างร้ายแรง
2. การตีความรวม แกนอุบัติเหตุร้าย: เสาร์–อังคารกระทบกัน แกนเคราะห์ตรงตัว: อังคารเล็งลัคนา แกนเคราะห์ชีวิต: อาทิตย์–อังคารทำมุมร้ายทั้งสองทาง เมื่อนำมารวมกัน เสี่ยงเหตุร้ายจากพิษเฉียบพลัน โดยตำราระบุเป็น “พิษงู” เพื่อสื่อถึงพิษที่แรงและรวดเร็วถึงชีวิต
3. หมายเหตุเชิงพยากรณ์ หากดาวเดิม (๗, ๓, ๑) อยู่ในภพเสีย หรือเป็นกาลกิณี และจรเข้าเงื่อนไขครบในวัยเสื่อม → ผลร้ายจะตรงตามตำรา ถ้าดาวเดิมมีคุณ อาจแปลเป็นอุบัติเหตุรุนแรงจากสัตว์มีพิษ, แมลงมีพิษ, หรือพิษจากสารเคมี/ยา แต่ไม่ถึงตาย ในการตีความปัจจุบัน “พิษงู” อาจรวมถึงการถูกทำร้ายจากสิ่งที่เคลื่อนเร็วและรุนแรง เช่น เข็มพิษ, เหล็กแหลม, ของมีคมปนพิษ
๑๕. "เสาร์ทับลัคน์ ภุมต้องอาทิตย์ สำแดงฤกษ์จันทร์จรถูกราหู อาทิตย์ถูกลัคนาตำราดูอีกราหูนั้นจรมาต้องจันทร์ อายุขาดจะพินาศมรณา จะต้องถูกสายฟ้าถึงอาสัญ ถ้าพระเคราะห์ต้องทับอันดับกัน ตำรานั้นท่านทายว่าตายเอย"
ข้อนี้เป็นเกณฑ์ร้ายแบบ “ซ้อนเคราะห์หลายชั้น” ที่ตำราระบุผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยพรรณนาถึงสาเหตุอย่าง “ถูกสายฟ้า” ซึ่งอาจหมายตรงตัว (ฟ้าผ่า) หรือเชิงอุปมา (เหตุรุนแรงฉับพลัน) เรามาแยกความหมายทีละวลีได้ดังนี้
1. แยกความหมายทีละวลี
- "เสาร์ทับลัคน์" เสาร์ (๗) เป็นบาปเคราะห์ใหญ่ หมายถึง ความทุกข์ โรคเรื้อรัง เคราะห์ร้ายยืดเยื้อ ทับลัคนา เคราะห์ตรงถึงตัวเจ้าชะตา ทั้งร่างกาย จิตใจ และชีวิตโดยตรง
- "ภุมต้องอาทิตย์" ภุมเมศ = อังคาร (๓) หมายถึงความรุนแรง การปะทะ ต้องอาทิตย์ (๑) เคราะห์กระทบพลังชีวิต, หัวใจ, เกียรติยศ และอำนาจ
- "สำแดงฤกษ์จันทร์จรถูกราหู" จันทร์ (๒) จรถูกราหู (๘) ทับหรือเล็ง เกณฑ์ ราหูอมจันทร์ หมายถึง เคราะห์ร้ายด้านร่างกาย จิตใจ และของเหลวในร่างกาย
- "อาทิตย์ถูกลัคนา" อาทิตย์ (๑) จรมาทับหรือเล็งลัคนา พลังชีวิตถูกกระทบโดยตรง
- "อีกราหูนั้นจรมาต้องจันทร์" ตอกย้ำว่าราหู (๘) กระทำต่อจันทร์ (๒) ในจังหวะเดียวกัน ซึ่งทำให้เคราะห์น้ำและเคราะห์ใจแรงขึ้น
2. ส่วนคำพยากรณ์ "อายุขาดจะพินาศมรณา" หมายถึง อายุถูกตัดลงก่อนกำหนด อาจเสียชีวิตจากเหตุเฉียบพลัน
"จะต้องถูกสายฟ้าถึงอาสัญ" อาจหมายตรงตัวคือถูกฟ้าผ่า หรือเชิงอุปมาว่าเป็นเหตุร้ายแรงฉับพลันรุนแรง (เช่น ไฟฟ้าช็อต, ระเบิด, ไฟไหม้, อุบัติเหตุจากพลังงานสูง)
"ถ้าพระเคราะห์ต้องทับอันดับกัน" หมายถึงดาวร้ายหลายดวงจรมาทับ/เล็งในจุดสำคัญพร้อมกัน
- "ตำรานั้นท่านทายว่าตายเอย" ยืนยันว่าเกณฑ์นี้ในตำราถือว่ารุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
3. การตีความรวม เมื่อครบเงื่อนไขในปีเดียวกัน
- เสาร์ทับลัคน์ + อังคารกระทบอาทิตย์ = เคราะห์ร่างกาย/ชีวิตแรง จันทร์ถูกราหู + อาทิตย์ถูกลัคนา = เคราะห์น้ำ/ใจ กระทบตัวโดยตรง ซ้อนเคราะห์หลายดวงในเวลาเดียว ตำราจึงจัดเป็นเกณฑ์ “อายุขาด” และเสี่ยงต่อเหตุร้ายแบบฉับพลัน (ฟ้าผ่า, ไฟฟ้า, ระเบิด, พลังงานสูง)
4. หมายเหตุเชิงพยากรณ์
- ถ้าดาวเดิม (๗, ๓, ๑, ๒, ๘) อยู่ในเรือนเสียหรือเป็นกาลกิณี และปีจรเข้าเงื่อนไขครบในวัยเสื่อม → ผลร้ายจะตรงตามตำรา
- ถ้าดาวเดิมมีคุณ อาจแปลเป็นเหตุร้ายแรงเฉียบพลันที่เกือบถึงชีวิต แต่รอดมาได้ พร้อมการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่
- ในยุคปัจจุบัน “ถูกสายฟ้า” อาจขยายความครอบคลุมไปถึง ไฟฟ้าช็อต, เครื่องจักรไฟฟ้าขัดข้อง, อุบัติเหตุจากแรงดันไฟ, หรือภัยธรรมชาติจากฟ้า
ท่านอาจารย์บรรเทา จันทร์ศร(อุตรภัทร์) ท่านสรุปว่า ฆาตขัยทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับดาวราหู หรือดาวบาปเคราะห์ใหญ่ ๆ เช่น ดาวเสาร์ ดาวอังคารและดาวอาทิตย์
จุดที่ทำให้ดาวราหู เกิดฆาตขัยขึ้นนั้น
๑. ฆาตที่เกิดจากอุปราคาหรือสุริยคราสและจันทรคราส
๒.ฆาตที่เกิดจากดาวบาปเคราะห์โคจรมาทับกัน
จุดที่ดาวราหูจะทำให้เกิดฆาตขัย เป็นระยะที่เกิดจากจันทรคราส หรือสุริยคราส จุดที่เกิดคราส(องศาดาวอาทิตย์) นั้นมาตรงกับดาวพระเคราะห์ที่ราหูเข้าไปทับหรือเล็ง จะทำให้ดาวพระเคราะห์ดวงนั้น ถึงจุดดับขึ้น และจุดดับนั้น ๆ จะเกิดขึ้นแก่ภพหรือเจ้าเรือนชาตานั้นทันที
เช่น จุดคราส(องศาอาทิตย์ในวันคราส) ทับดาวเจ้าเรือนลัคน์อาจถึงตาย หากไม่สิ้นชีวิตก็เหมือนตายทั้งเป็น คือสิ้นเนื้อประดาตัวทั้งเกียรติและความเชื่อถือ ทับดาวเจ้าเรือนกดุมภะสูญสิ้นทางการเงินและทรัพย์สิน ถึงดาวเจ้าเรือนสหัชชะสูญสิ้นทางสังคมและเพื่อน ๆ พี่น้อง ถึงดาวเจ้าเรือนพันธุสูญสิ้นวงศาคณาญาติและยานพาหนะ บ้านเรือน รถยนต์
สรุป จุดคราสนั้นไปทับหรือเล็งกับดาวเคราะห์ดวงใดและมีองศาเท่ากับดาวดวงนั้น ดาวดวงนั้นก็จะเข้าสู่จุดดับหรือจุดฆาตขัยทันที และเมื่อดาวดวงนั้นเป็นดาวเจ้าเรือนหรือภพใด เรือนนั้นหรือภพนั้น จะเข้าสู่จุดดับ
วิธีในการหาจุดคราส จะต้องคำนวณดวงชาตาที่มีองศา ลิปดาของลัคนาดาวเคราะห์ทุกดวง เป็นประการแรก
ประการต่อมาต้องหาสัมผุสของดาวเคราะห์ที่ดาวราหูเล็งหรือทับเป็นอันดับแรก อันดับต่อมา ต้องดูว่าเมื่อเกิดคราส ดาวอาทิตย์มีองศาเท่าใด ตรงกับองศาของดาวเคราะห์ดวงนั้นหรือไม่ หากตรงกับดาวเคราะห์ดวงใด ดาวเคราะห์ดวงนั้น จะถึงจุดฆาตขัย หากไม่ตรงก็ไม่ถึงจุดฆาตขัย แต่ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของราหู
จันทรคราสหรือสุริยคราส เกิดขึ้นเนื่องจากดาวอาทิตย์และจันทร์เท่ามุม ๐๐ องศา หรือ ๑๘๐ องศา ต่อกัน ในระหว่างที่อาทิตย์กับจันทร์ทำมุม ๐๐ องศา หรือ ๑๘๐ องศา แก่กันนั้น จะอยู่ห่างจากราหูไม่เกิน ๑๘ องศา ไม่ว่าร่วมหรือเล็งจุดนั้น จะเกิดคราสหรือเกิดอุปราคา คือถ้าหากจันทร์กับอาทิตย์ทำมุม ๐๐ องศา แก่กันเรียกว่าวันอมาวสี หรือวันพระจันทร์ดับ จะเป็นสุริยุปราคา และหากอาทิตย์กับจันทรทำมุม ๑๘๐ องศา แก่กันเรียกว่า ปุรณมี หรือวันพระจันทร์เพ็ญ วันนั้น จะเป็นวันจันทรุปราคา
สรุป วิธีคำนวณหาคราสมี ๒ ประการ
๑. ดูวันพระจันทร์ดับ(ทำมุม ๐๐ องศา กับดาวอาทิตย์) หรือวันพระจันทร์เพ็ญ(ทำมุม ๑๘๐ องศา กับดาวอาทิตย์
๒. ให้ดูองศาของดาวอาทิตย์ในวันที่พระจันทร์ดับหรือวันพระจันทร์เพ็ญว่า
๒.๑. อยู่ห่างจากราหูระหว่าง ๐๐ องศา - ๑๘ องศา วันนั้น จะมีอุปราคาหรือมีคราส
๒.๒. ถ้าหากอยู่ห่างจากราหูเกิน ๑๘ องศา ขึ้นไป เป็นวันปกติ หรือให้ดูว่า เมื่อราหูสถิตอยู่ในราศีใดแล้ว เมื่ออาทิตย์โคจรเข้ามาสู่ราศีที่ ๑๒, ๐๐ องศา , ๐๑ องศาแล้วเกิดวันพระจันทร์เพ็ญหรือวันพระจันทร์ดับ และระหว่างพระจันทร์เพ็ญหรือพระจันทร์ดับนั้น องศาของอาทิตย์อยู่ห่างจากราหูไม่เกิน ๑๘ องศา แล้ว วันนั้น จะเป็นวันที่มีอุปราคา
หากทราบว่าราหูสถิตอยู่ในราศีใดแล้วเมื่อดาวอาทิตย์มาอยู่ในราศีที่ ๖, ๗,๘ จากราหู และเกิดวันพระจันทร์เพ็ญหรือวันพระจันทร์ดับ และในวันเพ็ญหรือวันดับนั้น องศาของดาวอาทิตย์อยู่ห่างจากราหูตั้งแต่ ๕ ราศี ๑๒ องศา ถึง ๖ ราศี ๑๘ องศา แล้วในวันเพ็ญหรือวันดับนั้น จะทำให้เกิดคราสหรืออุปราคา คือถ้าหากเป็นวันพระจันทร์ดับ ก็จะเป็นสุริยุปราคา หากเป็นวันพระจันทร์เพ็ญ ก็จะเป็นวันจันทรุปราคา
ดังนั้น การคำนวณหาครางสต่าง ๆ ท่านอาจารย์กล่าวว่า เราจะศึกษาการคำนวณดาวเพียง ๓ ดวง อันได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ และราหูนั้นเอง
ท่านอาจารย์บรรเทา จันทร์ศร (อุตรภัทร์) สรุปไว้นี้ จริง ๆ คือการชี้ให้เห็น “รากเหง้า” ของฆาตขัยใน 15 ข้อก่อนหน้านั้น ว่าแม้รายละเอียดจะต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มีจุดร่วม 2 ประการคือ
1. จุดร่วมของเกณฑ์ฆาตขัย
- เกี่ยวข้องกับราหูเป็นหลัก ราหู (๘) ไม่ว่าจะทับ, เล็ง, หรือสัมพันธ์กับดาวสำคัญ (ลัคนา, จันทร์, อาทิตย์, พุธ, ศุกร์ ฯลฯ) โดยเฉพาะเมื่อราหูเข้า “องศาคราส” จะกลายเป็นตัวเร่งเคราะห์
- มีบาปเคราะห์ใหญ่ร่วม เสาร์ (๗), อังคาร (๓), หรือแม้แต่อาทิตย์ (๑) ในฐานะบาปเคราะห์ตามบริบท การที่บาปเคราะห์ใหญ่ ๆ เหล่านี้มาทับกัน หรือทำมุมร้ายกับจุดสำคัญของดวง จะกระตุ้นให้เคราะห์ทำงาน
2. ฆาตขัยจากราหู – สองกรณีสำคัญ
2.1 ฆาตที่เกิดจากคราส (สุริยคราส / จันทรคราส) คราส = เหตุการณ์ที่อาทิตย์และจันทร์ทำมุม 0° หรือ 180° กัน และอยู่ห่างจากราหูไม่เกิน 18° จุดคราส (องศาของอาทิตย์ในวันนั้น) หากตรงกับองศาของดาวใดในดวงกำเนิด ดาวนั้นจะเข้าสู่ “จุดดับ” ถ้าดาวนั้นเป็นเจ้าเรือนสำคัญ ภพที่เกี่ยวข้องจะพังทลาย เช่น เจ้าเรือนลัคนา เสี่ยงถึงชีวิต เจ้าเรือนกดุมภะ สูญสิ้นทรัพย์สิน เจ้าเรือนพันธุ สูญเสียบ้าน ที่ดิน หรือยานพาหนะ เจ้าเรือนสหัชชะ สูญเสียเพื่อนฝูง เครือข่าย
2.2 ฆาตที่เกิดจากบาปเคราะห์ทับกัน เมื่อราหูร่วมกับบาปเคราะห์อื่น (เสาร์/อังคาร/อาทิตย์) และจุดร่วมนี้สัมพันธ์กับจุดสำคัญของดวง → กลายเป็นเคราะห์ร้ายระดับฆาตขัย
3. หลักการหาคราสที่ใช้ได้จริง
- คำนวณองศาดาวในดวงเดิม ลัคนาและดาวทุกดวง ต้องรู้ถึงองศาและลิปดา
- ดูวันพระจันทร์ดับและวันพระจันทร์เพ็ญ
- ดวงอาทิตย์–จันทร์ทำมุม 0° (อมาวสี) → วันพระจันทร์ดับ → สุริยุปราคา
- ดวงอาทิตย์–จันทร์ทำมุม 180° (ปุรณมี) → วันพระจันทร์เพ็ญ → จันทรุปราคา
- วัดระยะจากราหูในวันนั้น ถ้าองศาอาทิตย์ในวันดับ/เพ็ญ ห่างจากราหู ≤ 18° วันนั้นมีคราส จุดคราสคือองศาอาทิตย์ในวันนั้น
- เปรียบกับดวงเดิม ถ้าจุดคราสทับ/เล็งดาวใดพอดี ดาวนั้น “ดับ” เคราะห์จะเกิดกับภพที่ดาวนั้นเป็นเจ้าเรือน
4. ความหมายของ “จุดดับ” “ดับ” ไม่ได้หมายถึงตายเสมอไป แต่หมายถึง การสิ้นสภาพ/สูญเสีย/พลิกผันใหญ่ ความแรงขึ้นอยู่กับคุณภาพเดิมของดาว, ภพที่ครอง, และว่าปี–วัยนั้นเป็นปีเสื่อมหรือไม่
ตัวอย่างจันทรคราส วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒
อาทิตย์มี ๐๘ องศา ๑๑ ลิปดา สถิตราศีกุมภ์
จันทร์มี ๗ องศา ๑๓ ลิปดา สถิตราศีสิงห์
ราหูมี ๑๑ องศา ๐๙ ลิปดา
ดังนั้น วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เป็นวันมาฆะบูชา เป็นวันพระจันทร์เพ็ญ(จันทร์เล็งอาทิตย์) ซึ่งองศาของดาวอาทิตย์มี ๐๘ องศา แต่องศาของราหู มี ๑๑ องศา ๐๙ ลิปดา ซึ่งห่างกันเพียง ๐๓ องศา เท่านั้น จึงเกิดจันทรุปราคา
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๓๒
อาทิตย์มี ๒๓ องศา ราศีกุมภ์
จันทร์ มี ๒๓ องศา ราศีกุมภ์
ราหู มี ๙ องศา ๕๘ ลิปดา
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๓๒ เป็นวันพระจันทร์ดับ (จันทร์ ๐๐ องศา อาทิตย์) และอาทิตย์มี ๒๓ องศา ดาวราหู มี ๙ องศา ๕๘ ลิปดา ดาวราหู(๘) ห่างจากอาทิตย์ ๑๔ องศา ไม่เกิน ๑๘ องศา จึงเกิดสุริยุปราคา
วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๒
อาทิตย์ ๐ องศา๐ ลิปดา ราศีสิงห์
จันทร์ ๐ องศา ๑๑ ลิปดา ราศีกุมภ์
ราหู ๑ องศา ๒๒ ลิปดา ราศีกุมภ์
วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นวันพระจันทร์เพ็ญ และเมื่อนำองศาของอาทิตย์มาลบองศาราหูดู ห่างกัน ๑ องศา ไม่เกิน ๑๘ องศา ดังนั้น วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นวันที่เกิดจันทรุปราคา
วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๒
วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นวันพระจันทร์ดับ เนื่องจาก
อาทิตย์ มี ๑๓ องศา ๒๗ ลิปดา
จันทร์ มี ๑๓ องศา ๒๗ ลิปดา
ราหู มี ๐ องศา ๓๗ ลิปดา
เมื่อเอาองศาของราหูมาลบองศาอาทิตย์แล้ว ห่างกัน ๑๓ องศา ไม่เกิน ๑๘ องศา ฉะนั้น จึงเกิดสุริยุปราคา
สำหรับเรื่องฆาตขัย จะเกิดขึ้นแก่เจ้าชาตาเมื่อจุดคราสหรือองศาของดาวอาทิตย์ในวันคราสตรงกับราศีใด และองศาของดาวเจ้าเรือนลัคน์ หรืออาทิตย์ จันทร์ในเรือนชาตา โดยไม่มีดาวพฤหัสให้ความช่วยเหลือ แสดงว่าชาตาจะถึงฆาตขัยแล้ว
ในเรื่องฆาตชัย นอกจากถือเอาจุดคราสหรือจุดอุปราคาเป็นข้อสำคัญในการพยากรณ์ เป็นส่วนสำคัญแล้ว ส่วนสำคัญที่ท่านบูรพาจารย์ถือเป็นหลักในการพยากรณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ ดาวเคราะห์ที่โคจรเข้าตามหลักที่ท่านเรียกว่า “สมาสัปต์) ซึ่งปรากฎในคำกลอนบทที่ ๑ ว่า ผิวจะฆาตลัคนาอายุขัย อสุรินทร์ถึงลัคนาใน บาปเคราะห์าจรไปมาทับกัน ทั้งพระจันทร์นั้นมาทับลัคนาให้ทายตัดชีวาถึงอาสัญ”
คำว่า บาปเคราะห์จรไปมาทับกันนั้น หมายความว่า ดาวที่เรียกว่าบาปเคราะห์ทั้ง ๔ ดวงนี้ จรไปมาทับกันทั้งหมดหรือ ๒ ดวงขึ้นไป ตัวอย่างเช่น ดาวเสาร์โคจรทับดาวอาทิตย์ และดาวอาทิต์โคจรทับดาวเสาร์ ดาวเคราะห์ที่โคจรแบบนี้ เรียกวาสมาสัปต์ สมาสัปต์ในลักษณะอย่างนี้ หากดาวเสาร์และดาวอาทิตย์ในดวงชาตาเดิมอยู่ในทุสนะภพแก่กัน( เป็น ๖,๘, ๑๒ ราศีแก่กัน) ด้วยแล้ว เคราะห์ร้ายย่อมจะเกิดแก่เจ้าชาตาอย่างแน่นอน อาจสูญเสียของรัก ของหวง เสียญาตสนิทหรือเสียชีวิต
ประการต่อมา หากเสาร์โคจรทับอาทิตย์ ๆ โคจรทับอังคารๆ โคจรทับราหู ๆ โคจรทับเสาร์ เป็นลักษณะโคจรไปมาทับกันหมด เป็นเรื่องที่ถึงกำหนดที่อายุขาดเหมือนกัน แต่ที่สำคัญ ต้องดูว่า พระเคราะหตัวใดตัวหนึ่งเป็นเจ้าเรือนตนุลัคน์หรือไม่ หากไม่ใช้เจ้าเรือนตนุลัคน์ ก็พ้นฆาต กลายเป็นความสูญเสียทางเรือนชาตา
เมื่อรู้ว่าจะถึงฆาตขัย แล้วจะมีสิ่งใดหรือวิธีการอย่างไร จะมาแก้ไขเคราะห์ร้าย นั้น ได้บ้างหรือไม่
ดาวที่จะมาช่วย ได้แก่ดาวพฤหัส ซึ่งเป็นหัวหน้าดาวฝ่ายศุภะเคราะห์ เป็นดาวที่ให้คุณมากกว่าให้โทษ
ดาวพฤหัสจะช่วยได้อย่างไร
ในช่วงที่มีอุปราคาหรือระหว่างดาวบาปเคราะห์โคจรสมาสัปต์นั้น ดาวพฤหัสโคจร
๑. ทับหรือเล็ง ลัคน์, จันทร์ และเจ้าเรือนตนุลัคน์
๒. โคจรมาร่วม หรือเล็งราศีราศีที่เกิดคราส
๓. ราศีที่เกิดคราสนั้น ดวงเดิมมีดาวพฤหัสสถิตอยู่
พฤหัสเข้ามาอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งใน ๓ จุดนั้น เคราะห์หรือฆาต อาจจะพ้นไปได้ หรืออาจจะมีบ้าง แต่ไม่มาก
#สนใจสมัครเรียนโหราศาสตร์ไทย อย่างเป็นระบบ ตามระบบธาตุและเรือนชาตา ตามหลักของท่านอาจารย์บรรเทา จันทรศร(ุอุตรภัทร์) อาจารย์ฐิ โหราศาสตร์ไทย นำหลักเคล็ดลับการพยากรณ์ตามหลักระบบธาตุของอาจารย์บรรเทา มาใช้ในการวิเคราะห์ทั้งในดวงชาตาเดิม และดวงชาตาจร ทำให้การพยากรณ์ดวงชาตาเกิดความแม่นยำมากในการพยากรณ์ดวงชาตาเดิมและการพยากรณ์ดวงชาตาจร การเชื่อมโยงระหว่างดวงชาตาเดิมกับดวงชาตาจรทำให้คำพยากรณ์ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมทั่งสอนในการนำความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ไทยไปใช้ในการให้ฤกษ์อีกด้วย เป็นหลักสูตรเดียวที่เรียนครบทั้งการวิเคราะห์ดวงชาตาเดิม การเชื่อมโนงระหว่างดวงชาตาเดิมกับดวงชาตาจร รวมทั้งการให้ฤกษ์ต่าง ๆ
อาจารย์จะเปิดสอนรุ่นที่ ๑๙ เริ่มเรียนครั้งที่ ๑ วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. เรียนจำนวน ๑๐ อาทิตย์ หลังจากจบการสอนในแต่ละสัปดาห์ผู้เรียนจะได้รับบันทึกการสอน(vdo)และเอกสารประกอบการสอนทางอีเมล์ เพื่อใช้ทบทวนการเรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนได้ดีอย่างเป็นระบบ สนใจสมัครเรียนรุ่นนี้ให้อินบ๊อก : m.me/arjarnth ดูน้อยลง